คำถาม
ถามคำถาม

"กรงขัง"..ในหัวใจ..!!

คนบางคน..เป็นทุกข์ใจกับเรื่องที่ตนเคยเจอ เวลาใครมาพูดเหมือนสะกิดปมเข้า ก็เทียวแต่ไปโทษคนนั้น คนนี้ หรือไม่ ก็คอยแต่คิดจะแค้นเคือง ผูกพยาบาทคนที่ทำร้ายตน คนที่ทำให้ตนเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ไม่เคยคิดที่จะหันกลับมาตรวจดูตนเองเลยว่า..ที่แท้แล้ว ตนเองนั่นแหละ..ที่ทำให้ตนเองทุกข์ เกิดทุกข์ หมกมุ่น และไม่ยอมปล่อยมันออกไป แต่กลับไปโทษแต่คนอื่น เทียวโทษไปเรื่อย เขาพูดอะไรมา ก็หาว่าคนอื่นว่าตนไปเสียหมด..แต่กลับไม่รู้ตัวเองเลย คนเช่นนี้ หากไม่ยอมปลง ไม่ยอมปล่อยวาง ก็ขอให้นึกภาพของวิญญาณที่ไม่ยอมปลดปล่อย ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมอโหสิกรรมให้ผู้อื่น มัวแต่หมกมุ่น ขุ่นแค้นเคือง อาฆาต คอยจองล้าง จองผลาญ จองเวรอยู่ตลอดเวลา

การที่เราพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเรานึกภาพแบบนี้ออกมาแหละ คือ นึกถึงการไม่ปล่อยวางของคน แล้วไปนึกเข้าใจถึงพวกวิญญาณที่คอยจองเวร ข้ามภพ ข้ามชาติจริงๆนะ ลักษณะของคนที่คอยหมกมุ่น แค้นเคือง คอยคิดแต่ปมตนเองอยู่ในใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ไปโทษแต่คนอื่น หาว่าแต่เขาว่าตัวเองน่ะ คงจะเหมือนวิญญาณพวกนี้แหละ เหมือนสัมภเวสี ที่ไม่ยอมไปไหน เฝ้ารอแต่ล้างแค้น จองเวรจองกรรม ทำให้ชีวิตของตนไม่มีความสุข มันจึงมีสภาพเหมือนการ "คุมขัง" ตนเอง ตนเอง สร้าง "กรงขัง" ไว้ให้ตนเอง และไม่เคยปล่อยวางเลย

ที่พูดมานี่คือ เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก "ปล่อยวาง" กันนะคะ อยากให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น ปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ ถ้าคุณได้ลองทำดู ครั้งแรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม คุณจะพบว่า คุณจะอดทนได้เพิ่มมากขึ้น นั่นคือ "กำลังบุญ" ของคุณ ที่คุณจะสามารถทำได้ แล้วเราเชื่อว่า สักวัน คุณจะพบความสุขขึ้นมาเอง ไม่ยึดติด ไม่ทุกข์ เหมือนคราวก่อนๆนะคะ ลองทำดู ไม่ใช่แค่แนะนำคุณนะ เราเองก็พยายามปล่อยวางเหมือนกัน หลายๆครั้ง ที่อาจจะรู้สึกไม่ชอบใจ ที่ใครพูดไรไม่เข้าหู หรือคิดไม่ดีกับเรา แต่ว่า คล้ายๆกับเราพยายามฝึกตนเองอยู่ทุกวัน เราพยายามปล่อยวางมันออกไป ได้หลายครั้งเหมือนกัน ตนเองยิ่งเป็นคนอดทนเก่งอยู่แล้ว กลับอึด อดทนได้มากยิ่งขึ้นไปอีก มีหลายคนนะ ตอนนี้เราเหมือนคนนิ่งๆ ในบางทีนะ ซึ่งแต่ก่อนจะกระโดกกระเดกมาก เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นคนนิ่งๆอ่ะ เหมือนคนเรียบร้อยนะ 555 แปลกใจตนเองเหมือนกัน ที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงไป >>เคยคิดจะออกจากที่นี่ไปเลยนะตอนนี้ เพราะเบืออะไรบางอย่างมาก แต่ก็ วันนี้ ขอตั้งกระทู้นี้หน่อย เพือนๆล่ะ เคยสร้าง "กรงขัง" แบบนี้ให้ตัวเองหรือเปล่า?

2 คำตอบ · +1 โหวต · 1 รายการโปรด · 65 อ่านแล้ว

เห็นด้วยทุกประการจ้ะ

ขอบคุณทีแบ่งปันกระบวนการคิด การมองปัญหา และให้รู้จักหัวใจตัวเอง

จนสามารถออกจากกรงขังที่เราสร้างมากั้นตัวเองได้

+1 โหวต · 6 ตอบกลับ

เราว่ายิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติมากก็ยิ่งเข้าใกล้ธรรมะมากขึ้น

เมื่อปฏิบัติมาก ก็ยิ่งสว่าง เมื่อมีปัญหา แต่ตัวเราสว่างก็มองเห็นได้ชัดเจน

การแก้ปัญหา หาทางออกก็ยิ่งง่ายขึ้น

เมื่อศึกษามากก็ทำให้เข้าใจมาก

ก็ทำให้เรามองอะไรๆ ได้ชัดเจน ถ่องแท้

ทุกปัญหาจึงใช้ปัญญาในการมองและแก้ไข

นี่คือข้อดีของการศึกษาธรรมมะ

ส่วนเรื่องคนที่เตยทำร้ายในตอนเด็ก เราจะมองให้เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร

ไม่แน่นะการที่เราได้รับจากการกระทำของเขาในชาตินี้อาจน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำต่อเขาในชาติอื่น ภพอื่นก็ได้

ต้องแยกแยะให้เข้าใจเรื่องของกรรมให้ได้

คิดให้ออกว่าหากสิ่งที่เขาทำกับเราในชาตินี้ เป็นผลมาจากที่เราทำกับเขามาในชาติอื่นๆ ซึ่งอาจร้ายแรงกว่านี้ก็ได้ แล้วเขาไม่ปล่อย ไม่อโหสิ เขากับเราจึ้งต้องมาพบเจอ มาชดใช้กันในชาตินี้ แล้วเราไม่อโหสิกรรมให้เขา กรรมในชาตินี้ที่เรารับเพื่อชกใช้ให้เขา จะจบสิ้นลงในชาตินึ้ได้หรือไม่

หากเราวางไม่ได้ อโหสิกรรมไม่เป็น ชาติหน้า ภพหน้าก็ต้องเจอกันอีก แล้วถ้าเขาปลาอยวางไม่ได้ ชาติต่อๆ ไปก็ต้องมาพบกันเพื่อแก้แค้น เอาคืน ในฐานะเจ้ากรรมนายเวรต่อกันไม่สิ้นสุดใช่มั๊ย

อย่างนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นกันเสียที

ตราบใดที่เราบังคับคนอื่นไม่ได้ การแก้ปัญหาให้จบไปก็ต้องมาแก้ที่ตัวเราเอง

ทุกเรื่องที่เราเป็นผู้ถูกกระทำ ยากทุกเรื่องที่เราจะลืมคงามเจ็บช้ำ

แต่เราต้องมองข้ามความเจ็บช้ำนั้นไปให้ได้สิ ต้องมองไปข้างหน้า อย่าเหลียวกลับมามองอดีตที่แสนระทม แสนรุนแรงที่เกิดกับเรา ไม่เช่นนั้น เราจะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารไม่จบไม่สิ้น เมื่อเราต้องการความอิ่มฝจ ความสบายใจ ความสุขในโลกหน้า เราก็อย่าผูกอะไรไว้กับตัวเราอีกต่อไป เพราะจะเป็นห่วง เป็นสัญญา เป็นกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดมาพบกับเขา มาพบกับความเจ็บช้ำ ความเคียดแค้นชิงชัง

"ยิ่งวางได้มาก ยิ่งเบาสบาย"

ค่อยๆ ทำทีละนิด ต้องฝึกจิตทุกๆ วัน ให้คุ้นชินกับการปล่อยวาง การให้อภัย มองเรื่องเจ็บช้ำ โกรธเคืองให้เป็นอดีต คิดแง่บวกว่าอย่างน้อยเราก็ผ่านไปแล้ว อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเองอีกเลย

ใครไม่รักเรา แต่เราต้องรัก หวังดี และมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ตัวเองมากๆ สิจ๊ะ

+1 โหวต

อ๋อ อันนี้ที่เตงพูดมาเราก็รู้ถึงเหตุผลทุกอย่างเหมือนตัวเองพูดน่ะแหละ รู้และเข้าใจดีว่า หากไม่อโหสิกรรมหรือชดใช้ให้เขาเสร็จสิ้นในชาตินี้ ชาติต่อไปเราก็ต้องได้มาเจอกันอยู่ดี เหมือนที่พระว่า หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นไง และก็ถูกต้อง เราพยายามคิดบวก คิดว่า ถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้ ถ้าไม่มีเขาให้เราได้มีโอกาสทำบุญ เราก็จะไม่มีเงินมาเลี้ยงเขาให้เป็นการทำกุศลต่อไป เรากำลังพยายามคิดว่า ท่านเป็นเทวดา มาอยู่ข้างๆเรา คอยฝึกเรา กำชับเราให้รู้จักการทำดี นั่นแหละ คือสิ่งที่เราคิดย้อนศรกลับไป ให้เรารู้จักข้ามวัฏสงสาร และถ้าไม่มีเขา เราอาจจะมีอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่และกำลังจะเผชิญต่อไปก็ได้ หากว่าเราไม่ชดใช้ให้แก่ท่านนี้ไปให้หมดสิ้นในชาตินี้ คิดอย่างนี้ จะทำให้เราต้องนึกถึงความดีให้มากๆ นึกว่า ที่แท้แล้ว ในความเจ็บปวดโหดร้ายนั้น ความจริงแล้ว แฝงเพชรเม็ดงามอันล้ำค่าอยู่ในนั้น แฝงด้วยความกรุณาที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด อยู่ที่ว่าเราจะมองออกไหม ถ้าเรามองออก คือเราผ่านการเจียรไนเพชรเม็ดนั้นนั่นเอง อิอิ

+1 โหวต

ถูกต้องงง

+1 โหวต

ถูกต้องงงจ้ะ

+1 โหวต

ขอบคุณอีกครั้งจ้ะ

+0 โหวต · 0 ตอบกลับ

คำตอบของคุณ

(ไม่บังคับ)

เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับ

คำถามที่คุณอาจจะสนใจ

ดูคำถามที่เกี่ยวกับ สังคมและวัฒนธรรม
ถามคำถาม