ไม่ร้ายแรงแต่เรื้อรัง รู้จัก เข้าใจ IBS
โรคลำไส้แปรปรวนเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของลำไส้ โดยไม่มีความผิดปกติทางกายภาพของลำไส้ที่จะสามารถอธิบายว่าเป็นสาเหตุของอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นก้อนเนื้อ มะเร็ง การอักเสบหรืออื่น ๆ ทั้งนี้โรค IBS มีอาการบ่งชี้สำคัญ คือ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง แน่นท้อง โดยมักปวดบริเวณท้องน้อยข้างซ้ายหรือข้างขวา ร่วมกับอาการท้องผูกหรือท้องเสีย บางรายถ่ายผิดปกติติดต่อกันหลายวันจนอาการน่าเป็นห่วง ถ้าเป็นท้องผูกก็จะต่างจากท้องผูกทั่วไปคือมีอาการปวดท้องหรือแน่นท้องร่วมด้วย เมื่อถ่ายแล้วอาการปวดท้องแน่นท้องจะดีขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยต้องไม่มีอาการอันตราย อาทิเช่น ถ่ายอุจจาระมีมูกหรือเลือดปน น้ำหนักลด ซีด อาเจียน อุจจาระมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ มีอาการปวดเบ่งถ่ายอุจจาระไม่สุด
สาเหตุและการวินิจฉัย
แม้จะเป็นโรคที่พบบ่อย แต่สาเหตุของโรคลำไส้ แปรปรวนยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แพทย์เชื่อว่ากลไกการเกิดโรคนั้นอาจเป็นได้ทั้งจากการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารผิดปกติ หรือประสาทรับรู้ความรู้สึกในทางเดินอาหารไวกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแพทย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมากขึ้น การวินิจฉัยจึงแม่นยำมากขึ้น “ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ ด้วยอาการปวดท้อง แน่นท้อง บริเวณท้องน้อยข้างซ้ายหรือ ข้างขวา ร่วมกับการขับถ่าย ที่ผิดปกติ” “ผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายโรคลำไส้แปรปรวน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งในระบบทางเดินอาหารควรได้รับการตรวจทางห้องปฎิบัติการเบื้องต้น เช่น ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ และการตรวจพิเศษอื่น ๆ ตามความเหมาะสม”
รักษาตามอาการ
เนื่องจากยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนของโรคได้ การรักษาโรคลำไส้แปรปรวนจึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาระบาย ยาลดอาการปวดเกร็ง ยาคลายกังวล และยาแก้ท้องเสีย ซึ่งไม่ใช่การกำจัดสาเหตุของโรคโดยตรง ทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ได้อีก
พฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลให้ลำไส้ทำงานผิดปกติ ได้แก่
-มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ข้ามอาหารมื้อเช้า รับประทานอาหารไขมันสูงอาหารจานด่วน หรืออาหารที่มีกากใยน้อย
-มีภาวะเครียด กังวล
-การขาดการออกกำลังกายและการพักผ่อนที่เพียงพอ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยได้
โรคลำไส้แปรปรวนไม่ใช่โรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ไม่ใช่สัญญาณของโรคมะเร็ง และผู้ป่วยก็สามารถมีอายุยืนยาวได้เช่นเดียวประชากรทั่วไป แต่อาการเป็น ๆ หาย ๆ ของโรคนั้นส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง โดยส่วนใหญ่มักเกิดความเครียดเมื่อไม่หายขาด กังวลว่าจะเป็นโรคร้าย หรือในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียเป็นหลัก อาการของโรคมักเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง
ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรค IBS
1. ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค
2. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
3. รับประทานอาหารเช้าให้ได้ทุกวัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ทำงานมากที่สุด เมื่อกินเสร็จแล้ว การเดินย่อยอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงจะทำให้รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำและควรเข้าห้องน้ำทันที วิธีนี้จะช่วยให้วงจรการขับถ่ายกลับเป็นปกติ
4. ไม่กลั้นถ่าย อาการปวดถ่ายจะอยู่กับเราเพียงประมาณ 2 นาทีเท่านั้น หากไม่ถ่ายในช่วงเวลาที่ปวด อุจจาระที่อยู่ในลำไส้จะลอยขึ้น น้ำในอุจจาระถูกดูดซึมโดยลำไส้ทำให้อุจจาระแข็งและเกิดอาการท้องผูกตามมา
5. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอาจเน้นอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย
cr. https://www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2557/better-digestive-health/understanding-ibs
ปล.ที่ผมนำมาลงในที่นี้เพราะผมเองก็เป็นโรคนี้อยู่ สาเหตุเกิดจากอาหารเป็นพิษ อาการของผมกำเริบมา 2 รอบแล้ว ช่วงแรกๆผมปวดเกร็งที่ลำไส้ข้างขวาก่อน อาการค่อนข้างจะทรมานเวลาถ่ายจะปวดลำไส้ทุกครั้ง วิ่งก็จะมีอาการปวด ต้องเดินอย่างเดียว ช่วงแรกหมอให้ยาลดอาการปวดเกร็ง ยาคลายกังวล และยาแก้ท้องเสีย พอครั้งที่ 2 ผมปวดทั้งซ้ายและขวา ไปพบหมอ หมอให้ยาลดอาการปวดเกร็ง ยาคลายกังวล ส่วนยาแก้ท้องเสียไม่ได้ให้ เพราะผมไม่มีอาการท้องเสียแล้ว ตอนนี้ก็หยุดยาไปก่อน เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าครั้งที่ 3 จะมาตอนไหน ช่วงนี้ก็ต้องดูแลร่างกายตัวเองด้วยครับ
อาจยาวไปนิด แต่ผมหวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านนะครับ