กลับไปยังคำถาม วันบางวันในหนึ่งชาติของมนุษย์
ถามคำถาม

ในคำตอบ

สวัสดีครับ คุณ RaiNy。‿。Yuna ผมก็ไม่ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านในเว็ปนี้ประมาณหนึ่งปีเศษๆแล้ว วันนี้ได้เข้ามาอ่านพบคำเขียนของคุณในนี้ ก็รู้สึกประทับใจและสกิดใจมาก ในข้อคิดของคุณเกี่ยวกับ "วันบางวันในหนึ่งชาติของมนุษย์" แม้ว่ากระทู้ของคุณจะมีอายุผ่านไป 6 เดือนแล้วก็ตาม ผมจะขออนุญาต แบ่งปันข้อคิดจากใจ ในมุมมองของชาวคริสต์คนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมเดินทางในโลกนี้กับคุณและผู้คนอีกจำนวนมากที่ต้องการแสวงหาสัจธรรมและความสว่างแห่งชีวิตของเรานะครับ ผมรู้สึกว่าที่ผมเข้ามาอ่านข้อความคุณนี้ ก็มิใช่ด้วยความบังเอิญ แต่ด้วยการดลใจจากองคฺ์พระผู้เป็นจ้าวผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่ผมได้เชื่อและรับใช้มาตลอดชีวิตนี้ ให้เข้ามาแบ่งปันข้อคิดส่วนตัวของผมให้ให้คุณนำไปตรึกตรอง ในบางประเด็นนะครับ เช่น ข้อความดังต่อไปนี้

"วันไหนมีความสุขที่สุดในชีวิต... วันนั้นก็เป็น 'วันพิเศษ' ที่ผุดขึ้นมาในใจเองนั้น สำหรับบางคน คือวันที่ได้รับ ขณะที่บางคน คือวันที่ได้ให้ จิตก่อนตายก็คล้ายๆถูกใครถามถึงวันพิเศษ แต่จะไม่มีการไล่ถามตัวเองเป็นข้อๆว่า วันไหนคือวันที่สุขที่สุดในชีวิต..."

ผมขอใหัข้อคิดตามความเชื่อของผมและคำสอนจากศาสนาคริสต์ว่า โดยทั่วๆไปแล้ว "การให้ก็เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่ง กว่าการรับ" ถ้อยคำนี้เป็นคำสอนจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูคริสต์เอง (พระธรรมกิจการ 20:35) แต่ในกรณีที่คนใดกำลังแสวงหา สัจธรรมและแสงสว่าง ผู้นั้นซึ่งเป็นผู้ได้รับสิ่งเหล่านี้ ก็คงเป็นวันที่เขาจะมีความสุขที่สุด และวันนั้นก็คือ "วันพิเศษสุดๆ" ด้วยเช่นกัน จริงไหมครับ?

คุณได้เขียนต่อไปว่า "ทุกข์ที่สุดในชีวิต ทำดีทีสุดในชีวิต ทำชั่วที่สุดในชีวิต แต่จะเกิดการปรุงแต่งจิตอันพันความคิด อันเป็นไปในทาง 'แสวงหาที่พึ่ง' เพราะจิตสุดท้ายเมื่อไม่เหลือทรัพย์ให้ถือ ไม่เหลือญาติมิตรเคียงข้าง ไม่เหลือแม้แต่ร่างกายเป็นที่ตั้ง ก็จะควานหาว่ายังจับยึดอะไรไว้ได้อีก ซึ่งการไขว่คว้าครั้งสุดท้าย จะไม่ใช่อะไรอื่นมากไปกว่าแสงสว่าง ซึ่งก็คือกุศลธรรมนั่นเอง แสงสว่างแห่งกุศลจะยกจิตขึ้นพ้นความกลัว อาบจิตด้วยความรู้สึกอบอุ่น พันภัย แต่ถ้าจิตเกิดอาการแสวงที่พึ่ง แล้วไม่พบความสว่าง เจอแต่ความมืด ก็จะเคว้งคว้างและบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวรุนแรง เหมือนใกล้ตกเหว หรือเหมือนตกจากเรือ ลงสู่แผ่นน้ำมืดกว้างใหญ่ไร้คนช่วย..."

(ความเห็นส่วนตัวของผม) เราทุกคนประสงค์มีที่พึ่งในชีวิต ดังที่คุณได้เขียนมานี้ เมื่อเราตายจากโลกนี้แล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้น? เราต้องการแสงสว่าง ต้องการสัจธรรม ในจักรวาลนี้ ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันชอบธรรมและผู้เที่ยงธรรม ผู้มีพระปัญญาสูงสุด ผู้ซึ่งได้สำแดงพระองค์เองให้มนุษย์ได้เห็นประจักษ์แล้วในประวัติศาสตร์ของโลก ที่เราจะพึ่งได้แล้วไซร้ กุศลธรรมก็คงทำหน้าที่แทนพระเจ้า ผู้เป็นปฐมชีวิตของสรรพสิ่งทั้งปวงได้โดยอภิปราย แต่สัจธรรมและแสงสว่างนั้นได้เข้ามาในโลกนี้แล้ว เพื่อมนุษย์ทุกคนที่วางใจในพระองค์นั้น จะมิต้องดำเนินชีวิตในความมืดและความกลัวอีกต่อไปในชีวิตนี้

ผมขอแนะนำและอัญเชิญ ให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ทำความรู้จักท่านผู้นั้น เพราะพระองค์ได้บังเกิดเป็นเนื้อหนังมังสะเหมือนเราทุกคน เมื่อ 2016 ปีมาแล้ว และพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง ผู้ใดที่พอใจรับท่านไว้ ก็ขอเชิญรับไว้ในจิตใจก็ได้ ครับผม

+0 โหวต · 0 ตอบกลับ

คำตอบนี้ยังไม่มีการตอบกลับ

ความคิดเห็นของคุณ

(ไม่บังคับ)

เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับ