สำหรับผม เช่น เวลาท่านดุด่า ท่านทำอะไรกับเรา ผมจะถือว่าท่านสั่งสอน เช่น
1. เวลาท่านไม่ให้เงินเรา ไม่ช่วยเหลือเราในบางสิ่ง ผมจะถือว่าท่านสอนให้เรารู้จักปลง และรู้จักคิดว่า ถ้าเราไม่อยากได้อะไรแบบไหน เราก็อย่าทำแบบนั้น
2. เวลาท่านไปวัด ท่านสอนให้เรารู้จักไปทำบุญอย่างเช่นท่านบ้าง
3. เวลาเราคิดไมดีสิ่งไหนกับพ่อแม่ เราก็จะได้สิ่งนั้นกลับมาเอง นี่เรียกว่ากรรม
4. การทะเลาะกับพ่อแม่ การโกรธพ่อแม่ การนินทาหรือระบายน้อยใจพ่อแม่ คือการทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนอกตัญญูต่อท่าน ไม่นึกถึงข้าวแดงแกงร้อน ความยากลำบากของท่านที่ได้อดทนเลี้ยงดูเรามา สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมเปลี่ยนไป ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทำมาอย่างสิ้นเชิงครับ คือ เมื่อพ่อแม่ดุ ผมจะเดินหนี หรือเงียบนิ่งเสีย เดี๋ยวท่านก็จะหยุด การเคยระบายเรื่องน้อยใจพ่อแม่ให้คนอื่นฟัง ผมได้รับผลกรรมคือเป็นคนเสียชื่อเสียง เพราะเคยเอาท่่านมาพูดระบาย มันก็เหมือนการประจานชือเสียงพ่อแม่ให้เสื่อมเสีย เป็นต้น
5. การช่วยเหลือพ่อแม่ทุกอย่างนั้น เรียกว่าเป๋นคนกตัญญู ผมหัดทำทุกสิ่ง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
6. คุณแม่ผมเป็นคนมีบารมีมาก ท่านมีญาติมิตรคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา นั่นเพราะท่านใจกว้างคอยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ต่างกับผม ซึ่งไม่มีใครสนใจหรือช่วยเหลือเลย ผมเคยนึกโกรธญาติเพราะไม่ช่วยอะไรเราเลย นี่ดีนะที่มีบารมีแม่อยู่ ผมเคยนึกจะไม่จุนเจือญาติอีกเลย แต่พอผมนึกอีกด้านต่อแม่ ผมก็นึกออกว่า เพราะการมีจิตใจที่เอาแต่โกรธแค้น ผูกพยาบาทนี่เอง ทำให้เราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ใจไม่กว้าง เลยทำให่ไม่มีบารมี คุณแม่ผมจึงเป็นตัวอย่างให้ผมอดทนอดกลั้นว่า ผมต้องทำใจ ยอมเสียสละ และต้องมีน้ำใจ ต้องข่มใจ เพราะถึงแม้เราจะไม่ชอบใจ
แต่ถ้าไม่ทำดี ไม่ให้ทาน ไม่ต้องรื้อฟื้นเรื่องราวหนหลังมาเคียดแค้น ถ้าไม่อยากได้สิ่งไหน จะต้องไม่ทำสิ่งนั้น คือผมจะต้องหัดให้ญาติ แม้จะเจ็บใจ มันเหมือนเป็นการสร้างทานบารมีคือ ถ้าเราไม่ทำวันนี้ ต่อไปแก่ตัวไป คงจะไม่มีใครดูแลเรา ผมจึงเข่้าใจแล้วว่า ผู้มีบารมีมากนั้น คือเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนอื่น ต้องให้ทาน และจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า การให้ทานเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ผมจะพยายามทำตามครับ
มีอีกหลายเรืองที่ผมเห็นธรรมะแฝงในตัวของคุณแม่ แต่นึกออกเพียงแค่นี้ เพือนๆล่ะครับ คิดเรืืองอะไรกันออกบ่้าง ในธรรมะที่แฝงอยู่ในตัวของพ่อแม่ของเราครับ