ราวกับว่าผลของการทดลองขององค์การ CERN [1] ทำให้ฟ้าร้องคร่ำครวญไม่รู้หยุดในกรุงเทพฯ ในหลายวันก่อนนั้น ราวกับวิถีแห่งอากาศจะแปรปรวนไม่รู้จบอย่างกับที่ผมไม่เคยพบมาก่อนนานนับเนิ่น และทำให้ผมฝันประหลาดที่สุดในรอบชีวิตที่กำเนิดมา
ผมฝันว่าชีวิตหมุนวนย้อนไปสู่อดีต มองภาพกาลเวลาของครอบครัวแจ่มชัดในภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่น พร้อมกับเสียงฟ้าร้องไม่รู้จบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรนำผมไปสู่อดีต ทั้งที่ตอนผมยังเด็กและทั้งช่วงที่ยังไม่เกิดเป็นตัวตน ความรู้สึกตอบสนอง ความเศร้าเบื้องลึกและน้ำตาที่ไหลหลั่ง ผมเห็นพวกเขาแจ่มชัดมากราวกับไม่ได้ฝันไปทีเดียว ขณะที่ภาพแจ่มชัดนั้นก็ยินเสียงฟ้าร้องภายนอกโสตประสาท หรืออนาคต อดีต เป็นช่วงกาลเวลาเดียวกันในปัจจุบัน เพียงแต่แยกกันที่มิติเวลา? นี่อาจจะเป็นตัวอย่างเล็กๆ แต่เหตุผลที่มีโลกนี้คืออะไร?
หลายคนอาจจะเคยตั้งคำถาม ผมเคยอ่านงานของ “ไอน์สไตน์” และ “สตีเฟ่น ฮอกกิ้ง” กระทั่งทฤษฎีควอนตั้ม [2] มาบ้างก่อนหน้านี้ จนเชื่อว่าในอนาคต ไม่ตราบใดก็วันหนึ่ง มนุษย์สามารถหาเครื่องมือในการย้อนเวลาได้ หากเราสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง มิติของโลกปัจจุบัน ทุกอย่างเป็นกาลเวลาที่เดินตามแสง หากมนุษย์เดินทางได้ด้วยความเร็วกว่าแสง เขาก็จะย้อนอดีตเท่ากับความเร็วนั้น เช่น เมื่อเขาบินรอบโลกด้วยความเร็วกว่าแสง 10 นาที เขาก็กลับมายังจุดเดิมเมื่ออดีต 10 นาทีนั้น
ยังไม่นับรวมทฤษฎีย่ออากาศ ในอวกาศอันกว้างใหญ่นี้ ผมเห็นข่าวที่เราค้นพบกาแล็คซี่ใหม่คล้ายทางช้างเผือก อยู่ห่างจาก “หมู่ดาวไฮดรา” ไปราว 15 ล้านปีแสง (และภาพที่เราเห็นกลุ่มดาวดวงนี้หากเราอยู่ที่กลุ่มดาวไฮดราคือ 15 ล้านปีแสงก่อนหน้านี้-เราเห็นอดีตของมันก่อนหน้านี้เป็นล้านปีแสง!!) เช่นกัน ดวงดาวที่เราเห็นบนฟากฟ้าคืออดีตของมันเท่าๆ กับการเดินทางของแสง
นั่นทำให้ผมคิดไปว่า หรือพิภพนี้เป็นอนันตกาลจริง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตอยู่บนกาลเวลาเดียวกันจริง แต่คนละมิติ
และบนเส้นทางยาวไกลนั้น หากเราไม่เดินทางโดยเส้นตรง แต่ “พับ” อากาศจากเส้นตั้งต้นและปลายทางมางอเข้าหากัน นั่นไม่ทำให้เราสามารถไปสู่ปลายทางชั่วพริบตาในทางอ้อมในวิถีใกล้แค่เอื้อมเหรอ
M81 - Spiral Galaxy, 6.8 เป็นกาแล็กซีแบบมีแขน (Spiral Galaxy) ประเภท Sb มีความสว่างปรากฏประมาณ 6.8 อยู่ในแนวจากดาวแกมมา ไปทางอัลฟา ออกไปอีกประมาณ 10 องศาและ M81 - Spiral Galaxy นี้ อยู่ห่างจากโลกเราไปประมาณ(แค่) 17.9 ล้านปีแสง
ก่อนหน้านั้นในวัยเด็ก ราวปี 2537 ผมเคยอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ “มิติที่ 4” ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ในปี 2528 (ผมกลับไปหาที่บ้าน ไม่เจอแล้ว) เสนอข่าวที่อัจริยะทางศาสตร์หลายแขนงทั่วโลกมานั่งประชุมกัน และทำนายอนาคตของโลกเราตามหลักวิทยาศาสตร์จากการวิเคราะห์มูลฐาน ผมยังอดทึ่งไม่ได้ว่า หลายข้อกลายเป็นความจริง เท่าที่ผมจำได้ เขาบอกว่าราวปี 2533-2535 โซเวียตจะล่มสลาย แตกเป็นประเทศเล็ก ราวปี 2550++(จำไม่ได้) โลกจะคิดวิธีโคลนนิ่งมนุษย์ได้สำเร็จ กระทั่งปี 2560++ รัสเซียสร้างไทม์แมชชีนได้สำเร็จและกลับมาแก้ไขประวัติศาสตร์ชาติตนเอง, 2570++ มนุษย์เริ่มอพยพไปอาศัยอยู่บนกระสวยอวกาศมากขึ้น และประมาณอีกไม่ถึง 50 ปีข้างหน้า ประชากรบนกระสวยอวกาศจะมีมากกว่า 50 ล้านคน??
และอีกหลายเรื่องก็เหมือนจะเป็นไปได้เลยทีเดียว
วิทยาการก้าวหน้าขึ้นทุกที จนเศรษฐกิจในโลกนี้อยู่ด้วยสินค้า “ไฮเทค” เข้าทุกวัน 10 กว่าปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีของมนุษยชาติก้าวหน้าไปมากจนเหมือนก้าวกระโดด ในอดีตนั้น มนุษย์อาจไม่เชื่อว่าเราสามารถสื่อสารถึงกันได้ข้ามโลกโดยการโทรจิต(ผ่านเครื่องมือ-ถือ) ซึ่งเป็นเรื่องอัจริยะสุดๆ หรือกรณีอื่นๆ ที่น่าทึ่งเมื่อนึกย้อนอดีต กระทั่งการที่มนุษย์บินได้ รถยนต์หรือกระทั่งยานยนต์ที่บินได้ซึ่งอเมริกากำลังจะผลิตได้แล้ว โดยใช้แกนวงกลมสลับขั้ว 2 แกนหมุนสลับกันสร้างพลังงานให้ยานต์สามารถบินได้ ราวกับในการ์ตูนญี่ปุ่นเลยทีเดียว
กระทั่งว่า มนุษย์สามารถล่องหนได้แล้ว (ผ่านเสื้อนาโนที่ติดเลนส์สะท้อนภาพตรงข้ามของวัตถุ) ที่ญี่ปุ่นเคยนำมาแสดงในงานวิทยาศาสตร์เป็นต้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเชื่อว่า ไม่อีก 10 ปี ก็ 100 ปี หรือไม่ก็ 1000 ปี ข้างหน้า มนุษย์ก็สามารถย้อนเวลาได้ โดยวิธีการเดินทางเร็วกว่าแสง(ผ่านเครื่องมือ), หรือการเคลื่อนย้ายมวลสาร(สลายสาร-นำมารวมกันใหม่-เส้นทางคล้ายหลุมดำ) เพื่อทะลุมาอีกมิติหรืออีกกาลเวลาหนึ่งได้ และแน่นอน คนจากอนาคตก็จะมาท่องเที่ยวอดีตและหรือมาแก้ไขประวัติศาสตร์
นั่นเป็นเหตุผลน่าเชื่อว่า ปัจจุบันนี้ มี “คนจากอนาคต” มาเยือนและอยู่ในโลกของเราแล้วในขณะนี้!!!
Haruka ayase-ฮารุกะ อายาเสะ นอกภาพยนต์และในภาพยนต์ Cyborg She
ราว 2 สัปดาห์ก่อนผมเพิ่งได้ไปดูภาพยนต์เรื่อง “Cyborg She” และน่าทึ่ง เขาทำได้ตรงใจผมทีเดียว (ไม่แพ้ประเด็นเรื่องนางเอกแสนน่ารัก) และเป็นวิทยาศาสตร์มากๆ Cyborg She เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของหญิงสาวนิรนาม (ฮารุกะ อายาเสะ) คนหนึ่ง ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อหน่ายของกระทาชายนายคิตามูระ จิโร่ (เคอิสึเกะ โคอิเดะ) ซึ่งมีวิถีชีวิตดังเช่นปุถุชนในสังคมเมืองทั่วไป หญิงสาวลึกลับผู้นี้ มาพร้อมกับพละกำลังที่แข็งแกร่งเกินมนุษย์ ความเร็วเหนือเสียง และมีหน่วยความจำอันดีเลิศ แต่กลับมีนิสัยกระด้าง เย็นชา พร้อมใช้กำลังกับทุกคนได้ทุกเมื่อ แน่นอน....... หญิงสาวผู้นี้ คือ ไซโบได โมเดล 103 แอนดรอยสาว ซึ่งจิโร่จากโลกอนาคตจัดส่งย้อนเวลามาปกป้องตนเองในอดีตให้พ้นจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในกาลต่อมา [3]
เรื่องราวในภาพยนต์เรื่องนี้ มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนในทางวิทยาศาสตร์, ฮารุกะสร้างหุ่นยนต์ในวัยชรา-แล้วส่งกลับมาช่วยเหลือและแก้ไขประวัติศาสตร์ตนเองในอดีต จากอุบัติเหตุครั้งสำคัญ และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของตนเอง , เคซึเกะ โคอิเดะเดินทางมาจากโลกอนาคตมาหาฮารุกะ (พระเอก) – ทั้งหมดมันทำให้ผมแอบคิดไปว่า ดังนั้นแสดงว่า คนในอนาคตคงจะเคยจัดทัวส์มาท่องเที่ยวอดีต หรือมาเยือนอดีตจำนวนมาก เมื่อการคิดเรื่องย้อนเวลาสเร็จ ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคตกาล (ซึ่งไม่สิ้นสุด-นับล้านๆ ปีแสง เช่นเดียวกันที่เราเห็นดวงดาว บนกาลเวลาที่อนันตกาลและขอบเขตไม่สิ้นสุด) นั่นอาจจะเป็นปรากฎการณ์เทพเจ้าที่ถูกบอกกล่าวเล่าขานกันต่อมาก็เป็นได้ กระทั่ง การไปเยือนในช่วงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น วันกำเนิดศาสดาต่างๆ - จึงเกิดปาฎิหารณ์, การก่อสร้างปิระมิด และอื่นๆ +++ หรือ กระทั่ง พระเยซู คือคนจากอนาคต??? หรือพระเยซูพบเห็นพระเจ้า-ซึ่งคือคนจากอนาคต ฯลฯ
ในทางวิทยาศาสตร์ ผมเคยนั่งคุยกับเพื่อนเพื่อเปิดจินตนาการ คำถามคือว่า หากคนในอนาคตแก้ไขอดีตได้ เช่น แก้ไขไม่ให้คนคนหนึ่งตายหรือพิการ แล้วมิติหนึ่งซึ่งเขาเคยเป็นอยู่(คือพิการ) มันหายไปไหน มันสลายภายหลังการแก้ไขหรือไม่ หลายคนตอบว่าใช่ บางคนบอกว่ามันยังอยู่ เพราะโดยทฤษฎีวิทยาศาสตร์ พลังงานไม่มีวันสูญหาย จะมีแต่เพียงการแปรรูปไปเป็นมวลสารอื่นช้าเร็วตามอัตภาพแวดล้อม ดังนั้น มิติที่เขาพิการมันคงอยู่และมัน(เสมือน)แตกเป็นมิติเวลาอื่น หรือโลกปัจจุบันในมิติเวลาหนึ่ง (ทฤษฎีโลกมีหลายมิติเวลาที่ทับซ้อนกัน – อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่บนกาลเวลาเดียวกัน –ไอน์สไตน์)
พูดง่ายๆ ก็คือ เราอาจมีตัวตนของเราอยู่ในหลายมิติ เช่น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตของเรา 1 ครั้ง เราก็แตกตัวไปเป็นชีวิตในมิติที่แตกต่างกัน “เรา” ในโลกปัจจุบันแต่ในมิติที่ซ้อนกันอยู่ที่ไม่เหมือนกัน (มี 2 โลกและเราอยู่ในนั้นทั้ง 2 มิติ) เป็นต้น
กระทั่งความฝันของเรา แม้วิทยาศาสตร์บอกว่า น่ามาจากการเก็บกดความทรงจำ กรองมาเป็นความฝัน แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากมิติอื่นที่เราสัมผัสได้ หรือการ “ระลึกชาติ” ได้จากชีวิตของเราในมิติอื่นเอง
ผมเริ่มสงสัยแล้วว่า หาก “พระพุทธเจ้า” ระลึกชาติ 500 ชาติได้จริงๆ นั้น มาจากบทสรุปเรื่องอะไร และอะไรบ้างที่เขาค้นพบโดยธรรมชาติแล้วตรัสรู้ แน่นอน คนในอนาคตอาจจะเฉลยปริศนาจักรวาลให้เราได้ก็ได้
ในเรื่อง “มิติเวลา” อีกเรื่องหนึ่งนั้น นักคิดสำคัญของโลกที่ผมอ้างแล้วก็เคยเสนอไว้เช่นกัน; บนสถานที่แห่งเดียวกันนั้น มีทั้งช่วงอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทับซ้อนกันอยู่ เช่น ณ ที่แห่งหนึ่งที่เรายืนอยู่ แต่ 1 ชั่วโมงก่อนหน้านั้นมีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ แน่นอนสถานที่แห่งนี้เรายืนทับกันอยู่บนคนละมิติเวลา และเคลื่อนไปตามเวลา(ของแสง) - โลกเรามองเห็นด้วยแสงและความเร็วของมัน – ดังนั้นหากภาวะอากาศ, ความถี่ หรืออะไรแปรปรวนไปจากกฎเดิมจนภาวะอากาศเอื้ออำนวย เราก็อาจเห็นเขาคนนั้นแวบขึ้นมาก็ได้
เช่น เมื่อผมเคยนอนอยู่ชายป่าเมืองกาญจน์ ในคืนหนึ่ง ได้ยินเสียงดาบกระทบกัน แว่วมาเรื่อยๆ บางคนบอกว่าเป็นเสียงป่า แต่ในด้านมิติเวลา อาจจะเป็นเสียงของการรบกันด้วยดาบในสมัยสงครามอยุธยากับหงสาวดีในพื้นที่นั้นในอดีต และเสียงมันเล็ดลอดข้ามมิติเวลามา ซึ่งก็เป็นไปได้ที่เราจะเห็นภาพและหรือเสียง ซ้อนเวลาบนที่เดียวกัน
บางคนบอกว่า “ผี” ก็อาจคือภาพอดีต หรืออนาคตที่เราบังเอิญพบในภาวะที่สภาวะมิติเวลาและแสงเปิดอำนวย หรือไม่ก็พลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่ติดมาในมิติเวลา และติดมากับพลังงานอื่น เช่น ไม้เก่าๆ ที่นำมาสร้างบ้านใหม่ เป็นต้น (พลังงานไม่สูญสลาย-เช่นคนตายก็แปรเปลี่ยนพลังงานไปเป็นไอ) หรือไม่ก็เป็นคนจากมิติเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจมีไม่รู้จบเช่นจักรวาลในเอกภพของเรา!!!
ก่อนหน้านี้ผมเคยเชื่อแต่เพียงว่า โลกที่ซับซ้อนนี้ มนุษย์กับสัตว์ยังรับรู้คลื่นความถี่ตามธรรมชาติได้ไม่เท่ากัน ไมว่าจะโดยสัมผัสทั้งหกก็ตาม ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสรรพสัตว์และธรรมชาติย่อมต่างกัน แต่ดำรงอยู่อย่างอิงอาศัยกัน ผลของอีกสิ่งก็อาจกระทบถึงอีกอย่างโดยที่เราไม่อาจรู้เท่าที่ความสามารถของเราไม่อาจรู้ได้ เช่น ทฤษฎีผีเสื้อกระพือเปียกสะเทือนถึงดวงดาว ของ เอ็ดวาร์ด ลอเรนซ์ [4]
และทั้งหมดนั้น ผมหวังว่า องค์การ CERN จะให้คำตอบแก่เราได้ไม่นานนัก
นอกเหนือจากที่ผม(เหมือน)ทำตัวเป็นศาสดาหาคำตอบให้ท่านไปก่อน...
อ้างอิงจาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=334183