เพิ่งรู้มาครับ หากคุณจะสร้างกิจการของตัวเองไม่เงินทุนพอ ธนาคารไหนเขาก็ไม่ให้สินเชื่อเลย แต่มีบริษัทร่วมทุนเขาให้คุณ คุณจะยอมไหม

ดิฉันว่า ดิฉันคงไม่ตอบคำถามคุณอีกต่อไป

ทีหลังก็แปะคลิปให้มันไวๆ นะคะ

เอาแระๆ ไม่ต้องไปต่อว่าลุง ว่า อ่านคำถามไม่ดีแล้่วมาตอบ

เอาเป็นว่าลุงก็รู้จักบริษัทนี้

เอาเป็นว่า ถ้าหลานจะยิ่งใหญ่มั่นใจตัวเองมาก

เอาเป็นว่า ลุงแค่เป็นห่วงถึงได้มาตอบคำถาม

เอาเป็นว่า ขอให้หลานลุงอยู่รอดปลอดภัยไม่ถูกหลอกนะครับ

เอาเป็นว่า ลุงไม่ต้องเขียนตอบ-คำถามของหลาน แบบทันทีทันใด

เพราะลุงจะรอให้คำถามของหลานทุกคำถาม มีอายุครบ 1 ปี แล้วลุงถ้าไม่ลืมค่อยมาตอบ

เพราะหลานเล่นเเปะคลิปทีหลังแบบนี้ ลุงเป็นลม! 5555

ไม่ค่ะ ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ทำ เพราะวงการนี้ ระวัง เค้าจะขโมยความคิดคุณไป และไปจดลิขสิทธ์เสียเอง

ขนาดดิฉันไปสัมภาษณ์งาน ยังมีบางคนให้เราเขียนแผนความคิดให้

ช่างฉลาดจริงๆ คนเหล่านี้

นี่อาจเป็นมุมมองที่คับแคบของดิฉันก็ได้ แต่มองแง่ดี ถ้าเราอยากมีทุน มันก็สมอารมณ์ ได้มีบริษัทสมใจ ถ้าเจอ partner ที่ดีค่ะ

ความคิด เรามีค่า ถ้า่านประสบการณ์ที่ดีมามากพอ เริ่มเล็กๆๆก่อน เงินลงทุนไม่มาก แต่ วางระบบดีๆๆ

หัวหมา ดีกว่า หางราชสีห์

คำตอบข้อนี้ ลุงขอตอบตามแบบลุงละกัน ไม่ได้อิงคำถามของหลานเท่าไร เพราะอ่านแล้วสับสน

สับสนในดวงจิตจริงๆ เลยหลาน เพราะคำถามข้อนี้ เขียนออกมาแล้ว

รู้สึกว่าจะเป็นในรูปของเงินนอกระบบมากกว่าสถาบันการเงิน หรือบริษัทร่วมทุนที่แท้จริง

หลานรู้หรือไม่ว่า แหล่งเงินทุนที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ ครอบครัว ญาติพีน้องที่ใกล้ชิด หรือเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้

เพราะเวลาลงทุน ไม่ต้องวิ่งหาหลักประกัน ไม่ต้องวิ่งหาคนค้ำสัญญาเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยก็ถูก ผิดพลาดฉันใด

ทุนจากญาติน่ะผิดพลาดไปก็ยังจะผลัดผ่อนหนี้สินกันได้ ไม่โดนตื้บ! ตาย

ที่คุณ Sky guru และคุณ Ked ตอบคำถามของหลานไว้ นั้นถูกต้องทีเดียว

การทำธุรกิจจากเล็กไปหาใหญ่นั้นถูกต้อง หากยังขาดความรู้ในการดำเนินการทางธุรกิจ หรือมีรู้ทางด้านนี้น้อยมาก

การร่วมธุรกิจ จริงๆ ที่ไม่หลอกกันนั้น คือการหาบริษัทมาร่วมทุน หรือ Joint Venture น่ะหลาน

ต้องระวังเรื่องข้อผิดพลาด เสียเปรียบตั้งแต่เริ่มแรกเลย การทำสัญญา Joint Venture

หากไม่ใช่นักธุรกิจที่มีความรู้ในด้านนี้จริงๆ จะเสียเปรียบได้ง่าย แต่ทำอย่างไรล่ะ หลานได้ เซ็นสัญญาให้เค้าไปแล้วนี่

คิดจะทำธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจขนาดเล็ก

หลานต้องรอบรู้การทำสัญญาเกี่ยวกับ การลงทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการร่วมกัน

การกำหนดเงินทุน ทรัพย์สิน ที่ดิน อาคารสถานที่ตั้งบริษัท โรงงาน รวมทั้งทรัพยากรมนุษย์

การกำหนดการวางตัวบุคลากรตามหน้าที่หรือตำแหน่งต่างๆ หรืออื่นๆภายใต้ข้อตกลงหรือสัญญาร่วมค้า

โดยมีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินงานไว้เช่น

สัดส่วนจำนวนหุ้น สิทธิความเป็นเจ้าของบริษัท ใครมีสิทธิมากกว่ากัน

การแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากการดำเนินการ และความรับผิดชอบร่วมกันหากเกิดความเสียหาย

หากมีผลกำไรจะแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์จากการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอย่างไร

มีการแบ่งตามสัดส่วนของการลงทุนหรือไม่

ที่ลุงกล่าวมาก็ต้องระวังเยอะแล้ว ยังมีปัญหาให้คิดอย่างหนักอีก

หากขาดความรู้ ขาดความรอบคอบหรือขาดประสบการณ์

เรื่องการกู้ยืมจากบริษัทร่วมลงทุนก็เหมือนกันไม่มีใครยอมตกลงกับหลานง่ายๆ เว้นแต่พวกสิบแปดมงกุฎ

หากเราขาดความรู้ด้านธุรกิจ ผู้ร่วมทุน ก็จะเสนอโครงการต่างๆ มากมาย

ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์แต่ฝ่ายเค้ามากกว่า

หากเสียรู้พลาดท่า บริษัทร่วมทุนดังกล่าว ก็จะเข้ามามีบทบาทมากกว่าหลานในบริษัท

และผลประโยชน์จะตกเป็นของเขาเสียส่วนใหญ่ ถ้าขาดทุน แน่นอน

หลานจะได้รับสัดส่วนความรับผิดชอบมากกว่าเขา

สมองระเบิดแน่ๆ หลาน