กลับไปยังคำตอบ เห็นด้วยทุกประการจ้ะ ขอบคุณทีแบ่งปันกระบวนกา... ถามคำถาม

ในตอบกลับ

เราว่ายิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติมากก็ยิ่งเข้าใกล้ธรรมะมากขึ้น

เมื่อปฏิบัติมาก ก็ยิ่งสว่าง เมื่อมีปัญหา แต่ตัวเราสว่างก็มองเห็นได้ชัดเจน

การแก้ปัญหา หาทางออกก็ยิ่งง่ายขึ้น

เมื่อศึกษามากก็ทำให้เข้าใจมาก

ก็ทำให้เรามองอะไรๆ ได้ชัดเจน ถ่องแท้

ทุกปัญหาจึงใช้ปัญญาในการมองและแก้ไข

นี่คือข้อดีของการศึกษาธรรมมะ

ส่วนเรื่องคนที่เตยทำร้ายในตอนเด็ก เราจะมองให้เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร

ไม่แน่นะการที่เราได้รับจากการกระทำของเขาในชาตินี้อาจน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำต่อเขาในชาติอื่น ภพอื่นก็ได้

ต้องแยกแยะให้เข้าใจเรื่องของกรรมให้ได้

คิดให้ออกว่าหากสิ่งที่เขาทำกับเราในชาตินี้ เป็นผลมาจากที่เราทำกับเขามาในชาติอื่นๆ ซึ่งอาจร้ายแรงกว่านี้ก็ได้ แล้วเขาไม่ปล่อย ไม่อโหสิ เขากับเราจึ้งต้องมาพบเจอ มาชดใช้กันในชาตินี้ แล้วเราไม่อโหสิกรรมให้เขา กรรมในชาตินี้ที่เรารับเพื่อชกใช้ให้เขา จะจบสิ้นลงในชาตินึ้ได้หรือไม่

หากเราวางไม่ได้ อโหสิกรรมไม่เป็น ชาติหน้า ภพหน้าก็ต้องเจอกันอีก แล้วถ้าเขาปลาอยวางไม่ได้ ชาติต่อๆ ไปก็ต้องมาพบกันเพื่อแก้แค้น เอาคืน ในฐานะเจ้ากรรมนายเวรต่อกันไม่สิ้นสุดใช่มั๊ย

อย่างนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นกันเสียที

ตราบใดที่เราบังคับคนอื่นไม่ได้ การแก้ปัญหาให้จบไปก็ต้องมาแก้ที่ตัวเราเอง

ทุกเรื่องที่เราเป็นผู้ถูกกระทำ ยากทุกเรื่องที่เราจะลืมคงามเจ็บช้ำ

แต่เราต้องมองข้ามความเจ็บช้ำนั้นไปให้ได้สิ ต้องมองไปข้างหน้า อย่าเหลียวกลับมามองอดีตที่แสนระทม แสนรุนแรงที่เกิดกับเรา ไม่เช่นนั้น เราจะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารไม่จบไม่สิ้น เมื่อเราต้องการความอิ่มฝจ ความสบายใจ ความสุขในโลกหน้า เราก็อย่าผูกอะไรไว้กับตัวเราอีกต่อไป เพราะจะเป็นห่วง เป็นสัญญา เป็นกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดมาพบกับเขา มาพบกับความเจ็บช้ำ ความเคียดแค้นชิงชัง

"ยิ่งวางได้มาก ยิ่งเบาสบาย"

ค่อยๆ ทำทีละนิด ต้องฝึกจิตทุกๆ วัน ให้คุ้นชินกับการปล่อยวาง การให้อภัย มองเรื่องเจ็บช้ำ โกรธเคืองให้เป็นอดีต คิดแง่บวกว่าอย่างน้อยเราก็ผ่านไปแล้ว อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเองอีกเลย

ใครไม่รักเรา แต่เราต้องรัก หวังดี และมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ตัวเองมากๆ สิจ๊ะ

+1 โหวต