ในคำตอบ

เป็นปัญหาเชิงนามธรรมนะเนี่ยะ

สงสัยงานเยอะจนท้อใจ ไม่ก็งานซ้ำซากจำเจจนเหมือนไร้พลังแอคทีฟ ขาดความกระชุ่มกระชวยในการทำงาน

อาจเพราะล้า จากภาระที่แบกอยู่ จนเหมือนไร้ความสุข หมดขีวิตขีวาในใจ ภาวะนี้เลยทำให้คิดว่าเราจะทำไปทำไม

เหนื่อยมากมายไปเพื่ออะไร สารพัดที่ใจในภาวะอ่อนล้าจะเกิดกังขา สับสน ในสิ่งที่กำลังทำอยู่

ถ้าอยู่ในภาวะสบายใจ สุขใจ ความรู้สึกเหล่านี้จะไม่เกิด .... เป็นกำลังใจให้ละกัน .... คนทุกคนมีภาวะนี้ทั้งนั้น

เพียงแต่ว่าจะมาในห้วงเวลาไหนเท่านั้นเอง ช่วงไหนกาย ใจ เหนื่อยล้าก็จะกลับมาอีกเป็นระยะ ไม่สิ้นสุด

....วกมาเรื่องที่ควรตอบตามกระทู้ ....

ทำงานเพื่ออะไร .... แล้วแต่สภาวะแห่งจิต ขณะนั้นนะ

ถ้าสบายๆ ก็ทำเพื่อให้ได้เงินมาทดแทนบุญคุณ ซื้อความสุขให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ซื้อความสบายใจให้ตัวเอง

แต่เราไม่เคยคิดว่าต้องรวยมากๆ นะ แค่พอมีพอใช้ มีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือ มีหนี้สินเท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว

ไม่ต้องมีบ้านห้าห้อง หกห้อง ไม่ต้องมีรถยนต์เจ็ดคัน แปดคัน ไม่ต้องติดแอร์ทุกห้องแม้แตบ้านหมา

ไม่ต้องมีสร้องเพชร สร้อยทองเหลือใช้จนต้องเอาไปผูกเป็นกระดิ่งแมว

เอาแค่พออยู่พอกิน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ ไม่ต้องมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่มีเวลาอยู่กับครอบครัว มีความสุขพร้อมหน้ากัน

แค่นี้ก็พอใจแล้ว เราไม่นิยมทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทุ่มเทจนไม่มีเวลาให้คนที่รักเรา เฝ้าเลี้ยงดูเรา หรือทำงานจนไม่มีเวลาเที่ยว ไม่มีเวลาเติมความสุขให้คนในบ้าน เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ทำงานเพื่อรวยแน่นอน

แต่งานทุกชนิด ไม่มีทางที่ทำแล้วมีความสุขได้ทุกวัน ทุกนาทีหรอก

งานต้องใช้สมอง ความคิด ต้องยากขึ้นตามตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสัจจธรรม ธรรมดานี่เอง

เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่า ทำงานแล้วไม่มีความสุขก็ไม่ทำ แต่ต้องสู้กับสิ่งที่ยากและท้าทาย

หากชนะ เราจะแข็งแกร่ง เข้มแข็ง มีประสบการณ์ที่ไม่มีวันสอนกันได้เพิ่มมากขึ้น

ลืมไป .... ว่าแค่อยากคุยเฉยๆ เราก็จัดซะเต็มเลย

อีกอย่าง "อยากให้เหมือนเมื่อก่อ.." คืออะไร

คือ เหมือน กูรู หรือเหมือนตอนโสด ? ?

ตอนนี้ยังไม่อยากพูดไป เดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้แล้วคาดการณ์ไปเอง ...

มีไรบอกได้ .. ถ้าข่วยได้จะไม่ลังเลเลย.. ขอบอก !!

เพราะ มิตรภาพ และ คำว่า เพื่อน สำคัญสำหรับเรามากๆ ๆ ยิ่งกว่ามากๆ ..รู้ยัง?

+1 โหวต · 19 ตอบกลับ

ใครก็สอนวิธีสำเร็จรูปไม่ได้ ... ว่างั้น

แบ่งรับแบ่งสู้ ประนีประนอม แล้วค่อยๆ บีบเข้ามาทีละนิด ... ดีที่สุด

แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการ ผลสัมฤทธิ์ในระยะสั้นๆ ทั้งนั้น

บอกเราแต่ว่า ถ้าไม่ยอมเปลี่ยน เราในฐานะหัวหน้า ต้องใช้อำนาจ

แต่่ผอ. กลับให้เข้างานสายทั้งเวลาเช้าและบ่าย ให้กลับบ้านไวในเวลาเย็น

คนกลางอย่างเราก็ปวดหัว กับการการสมดุล แบบนี้ไง ...เฮ้อออ..!!

+0 โหวต

แข็งกับ ผอ. หรือเฉยๆแบบที่เค้าบอกไป..

ตามน้ำ..แต่ถ้ายังเป็นคนที่ไม่อยากให้ใครมาว่าก็ต้องหาวิธีต่อไป...

ถ้าตัดสินใจสู้ก็จะยอมแพ้ไม่ได้..แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องของแพ้หรือว่าชนะ..

มันขึ้นอยู่กับอะไรที่จะดี..จะเหมาะสมที่สุดสำหรับเราต่างหาก...

"ดี"..สำหรับตัวเอง..ที่สุด...!!!..

+0 โหวต

แล้วทำไง แข็งตามทฤษฎี หรือ ทำไง

ฟังเหมือนขัดๆ กันหน่อยๆ นะ

อ่อนไหวก็เป็นเหยื่อ ทฤษฎีก็ไม่ได้

สอนเทคนิคเรื่องลูกล่อลูกชนให้หน่อยสิ

เราเคยทำแต่ชนตรงๆ หักๆ แตกๆ ถ้าเลือกที่จะชน

+0 โหวต

อ่อนไหวก็ตกเป็นเหยื่อ..

เรื่องบางอย่างมันก็ใช้วิธีตรงตามทฤษฎีไม่ได้หรอก..

+0 โหวต

เราก็คิดอย่างนั้นแหละ อยากอยู่อย่างให้คนรัก ยามจากไปให้คนคิดถึง

มากกว่า อยู่ก็มีแต่รังเกียจ ออกไปก็เผาพริกไล่

เลยขยักขย่อนการบีบอัดเรื่องงานลงไปเยอะ(มาก) พยายามเรียนรู้ทำเท่าที่ทำได้

แต่ผอ. ก็บีบอัดเราแทน คนที่นี่บอกว่า พี่คนนั้นก็ถูกบีบอัดอย่างนี้ แต่พี่เขา(ช) ใช้วิธีนิ่ง

ไม่ขยับตาม เอาใจคนหมู่มาก ผอ. ทำอะไรไม่ได้ก็เลยต้องปล่อย พอเรามาก็มาบีบอัดเราเป็นรายต่อไป

แถมยังบอกเราด้วยนะ ว่าให้เราทำมึนๆๆ ไปเดี๋ยว ผอ. ก็นิ่ง เหมือนที่เกิดกับคนก่อน

แต่เรามันคนทำงานเลยคับข้องใจในภาวะแบบนี้ไง ใจเราอยากให้ทำงานให้เต็มที่ ให้สมกับเงินเดือน

ไม่ชอบให้คนอื่นมาว่า หรือ ตำหนิ แต่คนที่นี่ ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่คิดอย่างเรา เราเลยอยู่ในภาวะชั่งใจอย่างวันนี้

+0 โหวต

งั้นก็เปลี่ยน...ทำให้คนรัก..ยากกว่าทำให้คนเกลียด..

มาสร้างมิตรกันดีกว่า...

+0 โหวต

อืมมม.... งั้นแหละ

ได้บ่นแล้ว ... สบถแล้ว ... ไม่คิดดีกว่า วันนี้วันหยุด

สัปดาห์หน้าค่อยคิด ว่าจะใช้ไม้ไหนในการชักจูงใจในการทำงานให้ดีขึ้นกว่านี้

เก็บสถิติก่อน แล้วคิดทางแก้ คนทางนี้ไม่แคร์เรื่องเงิน เขามีสวนยางกัน

ตัดเงิน ปรับเงิน ไม่เคยคิดกลัวกันเลย ที่ผ่านมาต้องใช้วิธีปรับด้วยงาน ให้ส่งงานเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น

แต่เคยใช้กับงานเล็กๆ ที่แค่เก็บรายละเอียด ส่วนงานที่ยังต้องทำอีกเยอะยังไม่เคยบังคับใช้

หรือว่าต้องใช้วิธีนั้นดี .... เรื่องขั้น การปรับเงินเดือนก็จิ๊บๆ สำหรับพวกนี้

มาทำแค่ต้องการสวัสดิการให้ครอบครัวเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนเพียงอย่างเดียว

รายได้หลักมาจากยางพารา สวนลองกอง มังคุด ซะด้วย

+1 โหวต

คงต้องคุยนอกรอบ...

แต่เป็น ญ คงยาก...

+0 โหวต

เขาเรียกเข้าตาผู้ใหญ่ มีปัญหากับผู้บังคับบัญชา คงไม่ต้องเกิดแล้วหล่ะ

เรารอเขากลับมาจากอบรมกันก่อนแล้วจะวางมาตรการร่วมกันอีกที

ไม่รู้จะได้ตามที่คิด หรือต้องปรับวิธีคิด ให้ทำหน้ามึน อดทนให้มาก หรือว่าอย่างไร

คนที่ย้ายไปเขาใช้วิธีเฉยๆ นะ เข้าหูซ้าย ออกหูขวา ปล่อยตามเรื่องตามราว

งานช้า ไม่เก็บงานให้เรียบร้อยก็ปล่อยผ่าน หมกเม็ดไปเรื่อยๆ สุดท้ายอยู่มาเกือบสองปีก็ย้ายไป

เราเข้ามาแล้วปวดหัวเลย ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ไม่มีการควบคุมงาน พอเอาจริงเอาจังก็ใช้วิธีเฉย

เราต้องเข้าไปกำชับทุกเรื่อง ขนาดรายงานผลการปฏิบัติงานประจำเดือน

การลงรายชื่อผู้เข้าประชุมวิชาการยังต้องมานั่งบอกเป็นเด็กอนุบาล ทุกเดือนถึงเอาสมุดไปลงมาให้

พูดง่ายๆ ต้องป้อนให้ถึงปากถึงจะเคี้ยวกัน ทั้งที่ประสบการณ์ทำงานแต่ละคนห้าหกปีทั้งนั้น

ไม่ทำส่ง ผอ.ก็ว่าเราต้องกระตุ้นให้ได้ เกือบเก้าเดือนไม่เคยมีเดือนไหนทีเราไม่ต้องเข้าไปเตือนเลยสักเรื่อง

เซ็งว่ะ!!

+0 โหวต

ก็รายงานตามตรงเป็นวินาทีไป..มันขึ้นอยู่กับ ผอ. มากกว่านั่นแหละที่ต้องปรับปรุง..

ถ้าลูกน้องเป็นแบบนี้ก็ต้องโทษลูกพี่ใหญ่เป็นหลัก..

แต่ถ้ายังมาไล่ปี้กะเรา..ก็ต้องให้อำนาจที่จะต้องให้เราทำตามวิธีของเรา..

ถ้าไม่..ก็ไม่ต้องมาไล่ปี้กะเรา..เราต่างหากต้องเด็ดขาดไม่ใช่เป็นฝ่ายรับ..

ไม่งั้นก็ร้องเรียนไปยังหัวหน้าที่สูงกว่านี้..กล้าที่จะบินหรือป่าวแค่นั้นเอง..

ปัญหาถ้าแก้ในระดับนี้ไม่ได้ก็ต้องไล่ไปหาระดับต่อไป...

+0 โหวต

ก็เกี่ยวนะ เพราะเราต้องคอยดูแลการทำงานของเขาไง แต่ผอ. ให้เข้าสายได้ ทำงานช่วงบ่ายครึ่งได้

แต่พอเป็นอย่างนี้งานออกช้าก็มีไล่บี้เอากับเรา ว่าต้องทำให้งานเดินให้ได้

แต่พอเราจะแก้เรื่องระบบมาทำงาน หรือ ห้ามกลับก่อนเพื่อให้ได้งานมากขึ้นก็ติดที่ผอ.อนุญาต

ให้เข้าสาย ทำงานภาคบ่ายช้า เราพูดแล้วก็ขอเวลาปรับปรุง โดยทำงานให้เร็วในสถานการณ์เดิมๆ

แต่ก็แก้ยากเพราะเวลาที่ให้ใช้ทำงานน้อย เราไม่รู้จะทำไง ... อาจต้องย้ายตัวเองแบบที่บอกซะกระมัง

เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้จักความรับผิดชอบในหน้าที่เลย มีแต่แก้ตัวไปวันๆ

+0 โหวต

1.ถ้าหน้าที่ไม่เกี่ยวกะเราก็ไม่ต้องสนใจ..อย่าเอาปัญหาของเค้ามาเป็นปัญหาของเรา..เปลืองเซลสมอง...

2.ถ้าต้องร่วมกันคงต้องคุยกะผอ...อย่างเป็นจริงเป็นจัง..และยื่นคำขาด..

3.ผอ.ไม่สนใจ..ไม่เราก็เค้าต้องเดินคนละทาง..ย้ายตัวเราหรือย้ายเค้าให้ไปพ้นๆหน้าซะ..

ขึ้นอยู่กับเรารับได้แค่ไหน..จริงจังแค่ไหน..แค่ไหนเรียกจริงจัง...เชิ๊บๆ...

+0 โหวต

ต่อ

แต่มาจี้กับเราให้บังคับลูกน้องแทนตัวเอง

เราจะประคองตัวยังไง ให้งานเดิน แล้วก็ไม่เจ็บแทนผอ.

+0 โหวต

ทำงานแบบไม่ง้อลูกน้อง ปัญหามากก็เคลียร์ออก อย่างนี้ก็ดีนะ บริษัทเล็กหน่อย สั่งการง่าย

คุยแล้วไม่ดีขึ้นก็กดดันให้ออก อื้ม.. ถามหน่อย

ถ้าหน่วยงานที่เอาคนออกยากๆ เราจะทำยังไงให้เขาทำตามตัวชี้วัดที่กำหนด

ใช้อะไรบีบดี คุยก็แล้ว ขอโอกาสให้โอกาสก็แล้ว บีบมากก็เบ้ปาก แล้วไม่ทำ

ประเภทดื้อรั้น ตาใสหน่ะ พูดได้พูดไป รับรู้แต่ไม่กระเตื้องขึ้น

การลงดาบ ลงแส้ ตัดเงินเดือนไม่ได้ซะด้วย ไม่ได้รุนแรงจนเกินไป

ใช้อะไรเป็นแรงเสริม แรงจูงใจดี ถ้าเขาไม่ได้สนใจเรื่องเงินเพิ่ม

ขอแค่ทำงานสบายๆ เรื่อยๆ เช้าชามเย็นชาม

งานเข้าแปดครึ่ง ยืดให้เป็นแปดสี่สิบห้า พอมาถึงใช้เวลานั่งรวมกลุ่มกินข้าวกันอีก

ถึงเก้าครึ่ง แล้วทำงาน กลางวันก็กินข้าวเข้ามาบ่ายครึ่ง หรือออกไปบ่ายกลับมาบ่ายสองครึ่ง

ทำงานอีกพัก ถ้าเริ่มงานภาคบ่าย สักบ่ายครึ่ง สามโมงครึ่งก็กลับบ้าน

อ้างว่าต้องรับลูก ไม่ก็แวบตามผอ. ที่ออกไปก่อน หน้านั้นแล้ว(โดยเฉพาะวันศุกร์)

ถ้าวันที่ผอ.ไม่เข้ามาก็กลับสามโมงเย็นทุกวันๆ นายคิดยังไง

เราคิดไม่วิธีไม่ออกเลย ว่าจะทำไงดี ผอ. ก็ยืดหยุ่นเยอะซะด้วย แต่มาจี้กับเราให้บังคับลูกน้

+0 โหวต

ชุดเก่าเหลือไม่ถึง 10 คนหรอกจาก 25 คน..

ออกไปเองก็มี..เพราะเคยเรียกคุยรวมทั้งบริษัทแล้ว..

เรื่องงานไม่ต้องบ่นไม่ต้องนินทา..คนไหนอยากทำก็อยู่..

คนไหนไม่พอใจก็ลาออกไป..ถ้าคนไหนมึนๆก็บอกลูกพี่ให้เรียกคุย..

จะไม่คุยเองเพราะเคยคุยไปแล้ว..ไม่ชอบคุยกันหลายครั้ง..

ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัว..แล้วยังไม่พิจารณาตัวเองอีก..ก็ให้เจ้เคลียร์..

เจ้คือภรรยาเจ้าของเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นไทย..พูดไทยได้..และวาจาเฉียดเฉือนยิ่งนัก..

และเป็นคนคุมเรื่องเงินเรื่องทอง..ฉะนั้นให้ลงมาดูแลเอง..ผมดูแลเรื่องงานอย่างเดียว..

ถ้ามีอุปสรรคก็เพียงแค่แจ้งไป..เจ้มาเคลียร์เอง..

เจ้าของคนญุี่ปุ่น..เป็นเหมือนเซลและมีหน้าที่เซนต์..แล้วรับรู้เรื่องราว..ตัดสินใจบ้าง..

+0 โหวต

มาไม่หมดนะพี่น้อง

อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดช่วงเมษา. ประกอบกับได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด เลยถือโอกาสลาออกในช่วงนั้น เพื่อนกลับบ้านแล้วก็หางานใหม่ ในคราวเดียวกัน

แล้วที่บริษัทรับคนประเภทไหนมาทำงาน ประเภทที่หนึ่ง หรือเคยใช้วิธีกดดันให้ลาออกเองมากี่รายแล้วเหรอ?

ผู้จัดการที่ชื่อ ภูมิ เขี้ยวจะตาย รู้จักป่าว? ? ๕ ๕ ๕

+0 โหวต

ช่วงเดือนเมษาจะเป็นฤดูกาลปรับเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง..ไม่เหมือนกันราชการ..

ดังนั้น..ก็จะมีคนที่.."ต้อง"..ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป..

บางคนก็ตัดสินใจมาแล้วตั้งแต่ปลายปี..เพราะว่าผลของจำนวนโบนัส..

แต่..บางคนต้องการแรงสนับสนุนในการตัดสินใจ...อีกครั้ง..

ถ้าตังค์ขึ้นน้อยหรือไม่ได้รับความสนใจจากบริษัท..เท่าที่ควร..ก็..ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันอีกต่อไป...

เฉพาะอาทิตย์นี้..มีคนลงประวัติที่จะออกจากบริษัทมหาชน..แห่งหนึ่งแล้ว..20-30 คน..

ก็ต้องมาคัดเอาเองว่าทำงานให้บริษัทเราได้กี่มากน้อยกัน...ที่นี่รับมาแล้ว 2 คน...เหตุผลก็คล้ายๆอย่างที่บอก...

แต่คนที่จะออกจากบริษัทซักแห่ง..อาจจะแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ..

1.คนเก่งแต่ว่าไม่มีที่ยืน..เพราะว่าไม่เลียและเสนอหน้ากับหัวหน้าไม่เป็น..Present ไม่เก่งว่างั้นเถอะ...

หรือไม่ก็พวกมั่นใจในตัวเองสูง..แต่ไม่ยอมฟังคำสั่งใครง่ายๆ..ดื้อ..

ค่อนข้างจะหายากซะหน่อย..เพราะส่วนใหญ่มั่นใจแต่ไม่เก่งจริงๆ...

2.คนที่ไม่เอาไหน..ขี้เกียจ ฯลฯ..แล้วบริษัทก็ไล่ออกไม่ได้..เพราะว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรง..

เลยใช้วิธีกดดันให้ออกเอง..

*ที่นี่เคยร

+0 โหวต

กะแล้ว ว่าต้องมีอะไรบ้างแหละ ถึงเล็กน้อย แต่ก็เรียกว่า มี จริงป่าว

แสดงว่าเริ่มเหนื่อยกับการดิ้นรน ต่อสู้ อยากมีชีวิตเรียบง่าย แต่สุขใจแบบอดีต

แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เวลาหนึ่งเท่านั้นแหละ เหมือนลมร้อนวูบผ่านมา แล้วก็ผ่านไป

ผ่านชีวิตมาต้ังมากเรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋ว เราเข้าใจว่าผ่านไปได้อยู่แล้ว

ดีแล้วแหละ หาอะไรแปลกใหม่ให้ตัวเอง ประสบการณ์ไม่มีขาย ต้องทำเอง

ส่วนที่เซนต์สัญญาแล้วยังเบี้ยว ก็เข้าใจอยู่นะ เด็กติส ก็งี้แหละ ติสแตกขึ้นมาไม่สนใจใครทั้งนั้น

คนสูงวัยเรียกว่า ดื้อ คนติสด้วยกัน เรียกว่า เป็นตัวของตัวเอง ๕ ๕ ๕

ว่าแต่ว่าทำไมห้างร้านถึงชอบรับคนช่วงสงกรานต์ จะว่าคนขาดเพราะกลับไปทำนาก็ไม่ใช่

+1 โหวต

อยากให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนตอนเริ่มมาทำงานใหม่ๆ..

รายได้ไม่ต้องสวยหรูมากมาย..ไม่ต้องฟุ้งเฟื้อแต่ก็สุขล้น...

ไม่มีอะไรแค่เบื่อๆแค่นั้นเอง..ขอบใจมาก...

สงสัย recycle bin มันเต็มมั้ง..ต้องสะสางซะหน่อยแล้ว...

ก็แค่อยากรู้เหตุผลของแต่ละคนว่า..คิดกันยังงัยเรื่องเรียน..เรื่องทำงาน...

ไม่อยากอยู่แค่ในกะลา..อยากเห็นโลกข้างนอกบ้าง...

ชอบไปสัมภาษณ์งานตามบริษัทต่างๆ..ยิ่งเป็นฝรั่งยิ่งชอบ..เปิดหูเปิดตาดี...

แต่ถึงได้ก็ไม่ไปทำหรอก..บางที่มันไกล..ไม่ชอบเดินทางไกล..เพื่อไปทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมง...

คิดว่าเวลามีค่า..ปฏิเสธไปหลายบริษัทแล้ว..ถึงขั้นเซนต์สัญญาเลยก็มีแต่ไม่ไปซะงั้น...เหอะๆๆ...

ช่วงใกล้สงกรานต์อย่างงี้ก็ต้องมีมาอีกหลายรายเลยทีเดียว...

+0 โหวต

ความคิดเห็นของคุณ

(ไม่บังคับ)

เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับ

คำถามที่คุณอาจจะสนใจ