คำถาม
ถามคำถาม

ทำอย่างไรให้ความฝันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้

ฝันให้ไกลไปให้ถึง

หลายๆ คนคงจะมีความฝันอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ และหลายคนก็คงจะสามารถทำตามความใฝ่ฝันของตัวเองได้ แต่หลายคนก็ไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งจริงๆ ก็น่าคิดว่าเป็นเพราะอะไร ความใฝ่ฝันนั้นมีหลายรูปแบบ บางคนตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอโตขึ้นจริงๆ ความฝันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลายคนจะเดินตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จ และบางคนก็ไม่กล้าคิดหรือกล้าฝันในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา เพราะไม่รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองนั้นคืออะไร

ความฝันนั้นมีผลหรือมีความจำเป็นต่อชีวิตคนเราหรือไม่?

บางคนเรียกว่าเป็นความฝัน บางคนอาจเรียกว่าเป็นการตั้งเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมายนั้นดีแน่ เพราะมีคนเปรียบชีวิตคนเราเหมือนนาวาชีวิตว่าจะวิ่งไปทางไหน ถ้าเรืออกจากท่าแล้วไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไปทางไหน ก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ แล้วแต่กระแสน้ำหรือลมจะพัดไป กับอีกลำพอออกจากท่าก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปไหน เช่น ออกจากอ่าวไทยไปนิวยอร์ค มันมีความชัดเจนต่างกัน ถ้ามีการตั้งเป้าไว้มันก็อาจจะถึงเป้าแน่นอน ถ้าเป็นในสมัยโบราณที่มีการใช้เรือใบนั้นไปจมกลางทางก็มีมาก อย่างไรเสียการตั้งเป้าย่อมดีกว่าไม่ตั้งเป้าแน่นอน

บางคนตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

บางคนตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ชีวิตคนก็เหมือนกัน ถ้ามีการตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ ก็จะมีหลักประกันชีวิตว่าอาจจะบรรลุเป้าหมายแน่นอน และชีวิตที่มีเป้าหมายยังไงก็ย่อมมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าชีวิตที่ไปเรื่อยๆ เหมือนกอสวะลอยน้ำ เราต้องไม่เป็นอย่างนั้น ต้องเป็นเรือที่มีหางเสือคอยกำกับไว้ว่าจะนำพาเราไปสู่ทิศทางใด ฉะนั้นการมีเป้าหมายชีวิตหรือการมีความฝันใฝ่ว่าจะไปทางไหนย่อมดีกว่า

คนที่ยังหาความฝันของตัวเองไม่พบจะมีวิธีการค้นหาได้อย่างไร?

จะตั้งเป้าความฝันได้แม่นยำ และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงนั้น ท่านให้หลักไว้อย่างนี้ว่า ต้องรู้จักตัวเอง ว่าเรามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน จะได้ตั้งเป้าให้สอดคล้องตรงกับศักยภาพความสามารถของเรา ซึ่งการตรวจสอบตัวเองทั้ง 6 ด้าน คือ 1. ศรัทธา 2. ศีล 3. สุตะ หรือ ความรู้ 4. จาคะ คือ ความเสียสละ 5. ปัญญา 6. ปฏิภาณ ฟังดูคล้ายๆ ศัพท์ของพระ แต่เราจะพบว่าสามารถใช้กับชีวิตเราได้อย่างดีเลย

ตัวอย่าง บิลเกตท์ นั้น เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลย แต่ก็กล้าลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วมาทำบริษัทไมโครซอฟท์ กับเพื่อน ทำอยู่ในโรงรถจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นบริษัทที่ในยุคหนึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทสูงที่สุดในโลก แล้วตัวเองก็เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกครองตำแหน่งอยู่นับ 10 ปี สร้างตัวด้วย 2 มือจริงๆ ไม่ใช่มรดกพ่อแม่ แต่มาด้วยความสามารถ และในเวลาสั้นๆ สามารถบรรลุความฝันได้ เราลองถามตัวเองว่า ถ้าให้เราเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย สมมติอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 2 หรือ ปี 3 แล้วมีความฝันอยากจะทำธุรกิจอะไรบางอย่างที่เราชอบมาก ถามว่าเรากล้าลาออกมาทำหรือไม่ คนทั่วไปก็มักจะคิดว่าเสี่ยง กลัวล้มเหลวแถมยังเรียนไม่จบอีก แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร สู้ว่าเรียนต่อให้จบอีกสักปีหรือ 2 ปี แล้วเป็นบัณฑิตจบวิศวกรรมศาสตร์จากฮาร์วอดด้วย ชีวิตรู้สึกมันมีหลักประกันกว่ากันเยอะเลย แล้วทำไมบิลเกตท์กล้าลาออกมาทำ แล้วทำจนสำเร็จเพราะอะไร เราเคยคิดบ้างไหม

สิ่งนี้คือ ศรัทธาในข้อที่ 1 ซึ่งไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาอย่างเดียว แต่เป็นในแง่รู้จักตัวเอง คือ เรามีใจรักอยากจะทำอะไรจริงๆ เขาเลยกล้าลาออกจากมหาวิทยาลัยมาทำ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรักหรือชอบ แล้วไม่ใช่แค่นั้น

ยังมีข้อที่ 2 อีกคือว่า ศีล ซึ่งไม่ใช่ศีล 5 ศีล 8 ธรรมดา แต่รูปแบบของศีล คือ ความมีวินัยในตัวเอง ว่ามีความตั้งใจจะทำให้สำเร็จได้แค่ไหน ถ้าคนที่มีวินัยในตัวเองไม่แข็งพอก็จะไม่กล้า แต่คนไหนที่มีใจมุ่งมั่นทุ่มเทในสิ่งนั้นได้จริงๆ คุมเวลาตัวเองได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองมันจะเพิ่มขึ้นมากลายเป็นความฝันใฝ่ ส่วนคนที่ฝันเลื่อนลอยแล้วไม่ทำนั้นคือฝันเฟื่อง

อันที่ 3 คือ สุตะ หรือ ความรู้ เราเองมีต้นทุนความรู้ในเรื่องนั้นๆ ที่เราจะทำแค่ไหน เปรียบกับคนอื่นแล้วเราพอสู้เขาไหวหรือไม่

ข้อที่ 4 คือ จาคะ หรือ ความเสียสละ คนเราจะประสบความสำเร็จได้มันต้องยอมเสียสละหลายๆ อย่าง เราสละได้หรือไม่ ยิ่งใครที่คิดจะเป็นเจ้าของกิจการนั้นมันต้องมีการรวมทีมเข้ามา คนขี้เหนียวรวมทีมไม่ได้ ต้องเป็นคนมีน้ำใจถึงจะรวมทีมคนได้ รู้จักการแบ่งปันประโยชน์ที่ได้มาอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้นคนเก่งๆ จะหนีหมด เพราะไปเอารัดเอาเปรียบเขา สุดท้ายก็จะไปไม่รอด ต้องรู้จักแบ่งปัน ไม่รวยคนเดียว และต้องให้ผลตอบแทนทุกคนอย่างยุติธรรม และยังต้องสละอารมณ์ได้ด้วย เพราะในคนหมู่ใหญ่ย่อมมีทั้งเรื่องที่ถูกใจและไม่ถูกใจ ต้องสามารถรักษาอารมณ์ไว้ให้ดีได้ตลอด ฉะนั้นถ้าคิดจะทำงานใหญ่ต้องตรวจสอบตัวเองให้แน่ใจว่า จาคะ(ความเสียสละ) ของเรานั้นมีพอหรือไม่

และปัญญาเรามีแค่ไหน ส่วนความรู้นั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง บางคนมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด รู้มากแต่ใช้ไม่เป็น จึงต้องมีปัญญาจริง คือมีความรู้แล้วสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงๆ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมแต่เราต้องหยั่งตัวเองให้ออก

ข้อที่ 6 คือ มีปฏิภาณ ไหวพริบดีแค่ไหน บางคนฉลาดแต่ว่าต้องค่อยๆ คิด แต่บางคนมีปฏิภาณดี สามารถแก้ไขโต้ตอบหรือตัดสินใจบางอย่างได้รวดเร็วทันทีทันใดได้ อย่างนี้ก็ตั้งความฝันให้ตรงกับศักยภาพของตัวเอง อันนี้คือในแง่หลักการ จะได้ตั้งความฝันให้เหมาะกับตัวเองได้คือ 6 ข้อทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง

ฝันให้ไกลไปให้ถึง

ฝันให้ไกลไปให้ถึง

ในเชิงปฏิบัติ ถ้าเราอยากรู้จักตัวเองว่าเราถนัดทางด้านไหน ชอบอะไรยังไง ให้เขียนรายการเอาไว้กี่ข้อก็ได้ เขียนไว้ตั้งแต่เราเป็นเด็กไปจนกระทั่งโต แล้วมาค่อยๆ ดูว่าที่เราชอบแต่ละข้อนั้นเพราะอะไร ค่อยๆ แจงเหตุผลออกมา แล้วก็เช็คตัวเองบ่อยๆ เข้า ถี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้จักตัวเองมากขึ้นๆ แล้วสุดท้ายจะสามารถตั้งเป้าหมายชีวิตหรือความฝันเราเองได้แม่น นี่คือในเชิงปฏิบัติ

คนที่ฝันไว้ใกล้ๆ ตัวกับคนที่ฝันเอาไว้ไกลตัวนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร?

อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน อย่างไรก็ตามคนเราควรจะมีความฝันเอาไว้ อาจจะฝันไว้ไม่ไกลนักพอบรรลุเป้าหมายหรือใกล้ๆ จะบรรลุ แล้วจึงค่อยๆ ขยับความฝันให้ไกลไปอีก ฝันไปทีละขั้นอย่างนี้ก็มี ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยของแต่ละคน บางคนก็ชอบตั้งเป้าสุดท้ายไว้ก่อนเลย แล้วค่อยแตกเป้าสุดท้ายเข้ามาเป็นเป้าใกล้ๆ จริงๆ ก็ไม่ต่างกันในเชิงปฏิบัติ บางคนก็ไม่อยากฝันไกลนัก เอาแค่ระยะสั้น ฝันใกล้ๆ แล้วค่อยๆ ขยับไปๆ ขอให้กล้าฝันเข้าไว้ ตั้งเป้าให้สูงเทียมฟ้า ถ้าจะหล่นลงมาก็แค่ดวงดาว ให้กล้าตั้งเป้าใหญ่ไว้ก่อน เมื่อผิดหวังก็ยังเหลือระดับรองลงมาอีก ให้คิดใหญ่ไปเลยแล้วกล้าทำให้เต็มที่ เมื่อทำคนเดียวไม่ไหวก็ช่วยกันทำหลายๆ คน แล้วจะสำเร็จได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นไปไม่ได้ ให้รู้ไว้ว่า คำว่า “เป็นไปไม่ได้” จริงๆ แล้ว ไม่มี ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น ขอให้มีความเชื่อมั่น มุ่งมั่น และทุ่มเทให้เต็มที่ ทำอย่างจริงจัง สุดท้ายความสำเร็จจะเป็นของเรา

เราควรจะต้องเตรียมกายเตรียมใจอย่างไร ในเส้นทางการไปสู่ฝันอันยิ่งใหญ่?

วิธีการให้บรรลุเป้าหมายตามฝันนั้น เอาหลัก 4 ข้อสั้นๆ ที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม คือ

1. สัจจะ คือ ความซื่อสัตย์ ความจริง เมื่อตั้งใจจะทำอะไรไว้แล้วเรามีความแน่วแน่ต่อเป้าหมายนั้นๆ

2. ทมะ คือ การฝึกตัวเอง เมื่อเราตั้งใจอะไรไว้แล้วก็ต้องฝึกตัวเองให้เพิ่มพูนตลอดเวลา เพื่อจะได้สามารถทำไปถึงเป้าหมายได้สำเร็จสมความตั้งใจ ตอนเริ่มต้นอาจจะไม่ได้เก่ง แต่มุ่งตรงต่อเป้าหมายนั้น แล้วฝึกตัวเองพัฒนาศักยภาพ และอย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว เพราะถ้าคิดอย่างนี้เราจะหยุดฝึกฝนตัวเอง ขอเพียงอย่าหยุดการฝึกตัวเอง ฝึกไปจนตลอดชีวิตของเราเลย สุดท้ายความสำเร็จจะเป็นของเรา

3. ขันติ คือ ความอดทน เพราะหนทางที่จะไปสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ จะมีสิ่งไม่คาดไม่ฝันเกิดขึ้นเสมอ เราต้องเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นต่อเป้าหมายโดยไม่เปลี่ยนแปลง

4. จาคะ คือ ความเสียสละ ทั้งสละวัตถุสิ่งของ มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น และสละอารมณ์ ไม่เก็บอารมณ์ขุ่นมัวไว้ในใจ ทำให้ใจเราผ่องแผ่วอยู่เรื่อยๆ คนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องรู้จักจาคะ

ถ้ามีทั้ง 4 ข้อนี้จะทำให้เราเองสามารถบรรลุเป้าหมายและความฝันในที่สุดได้

คนที่ต้องประสบกับฝันสลายเพราะความฝันไม่เป็นจริงนั้น ควรทำอย่างไร?

เมื่อล้มแล้วต้องลุก ถามว่าก่อนจะเดินได้นั้นมีใครบ้างที่หัดเดินแล้วไม่ล้ม ถ้าล้มแล้วลุกขึ้นมาหัดเดินใหม่สุดท้ายก็จะเดินได้ในที่สุดและแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามถ้าเด็กคนไหนหัดเดินแล้วล้มและท้อแท้ไม่ยอมลุกขึ้นมาหัดเดินใหม่ เด็กคนนั้นก็จะเป็นง่อยเดินไม่ได้ คนเราถ้าตราบใดใจยังไม่ยอมแพ้คือยังไม่ถอดใจ ก็เท่ากับยังอยู่ในกระบวนการมุ่งสู่ความฝันอยู่

เหมือนโทมัส อัลวา เอดิสัน ที่ผลิตไฟฟ้าซึ่งค้นพบแล้วว่ามีไฟฟ้าจริง ให้ความสว่างได้ แต่ว่าจะหาอะไรมาเป็นไส้ที่ให้ความสว่าง ทดลองใช้ไม้ไผ่ดูมันก็สว่างที่ระดับหนึ่งแต่ว่าไม่ทน ทดลองด้วยเส้นผม ใยพืช และลองทุกอย่างเป็นหมื่นๆ อย่าง จนมาพบว่าทองแดง ทองสเตย์ นั้นใช้ได้ดีที่สุด กว่าจะพบตัวที่สรุปลงตัวได้นั้นก็ผ่านมาเป็นหมื่นๆ อย่าง ถ้าในระหว่างนั้นเลิกทดลองค้นคว้าก็คือจบ แต่พอไม่ยอมเลิกนั่นคือไม่ได้ล้มเหลว แต่ยังอยู่ในกระบวนการทดลองหาข้อสรุปที่ดีที่สุดอยู่

ชีวิตเราก็เหมือนกัน จะล้มกี่ครั้งก็ตาม ถ้าตราบใดยังพร้อมจะลุกขึ้นมาแสดงว่าเรายังไม่ได้ล้มเหลว แต่เรายังอยู่ในช่วงกระบวนการที่กำลังหัดเดิน แล้วสุดท้ายเรามีสิทธิที่จะบรรลุเป้าหมายความฝันของเราได้

ความฝันอันยิ่งใหญ่ถ้าช่วยกันฝันหลายๆ คนก็มักจะสำเร็จความเห็นตรงนี้เป็นอย่างไร?

เรื่องบางเรื่องเป็นฝันเฉพาะตัว แต่ถ้าใครคิดการณ์ใหญ่ที่ทำคนเดียวไม่ได้จำต้องช่วยกันหลายๆ คน อย่างนี้เราจำเป็นจะต้องขายฝันให้คนอื่นมาร่วมฝันกับเรา กำลังแต่ละคนมาร่วมกันตัวเราก็เป็นผู้นำทีม แล้วช่วยกันทำความฝันนั้นให้ประสบความสำเร็จ

พระบรมโพธิสัตว์ตั้งเป้าเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เริ่มที่พระองค์เดียวก่อน พอทำไปๆ บารมีพระองค์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็มีผู้มาร่วมฝัน มีพระอสีติสาวกทั้งหลายมาร่วมฝันอีกหลายองค์ จนพระองค์ก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำทีมพระอรหันตสาวกเผยแผ่ธรรมะให้ชาวโลกได้มากมายในที่สุด เรื่องอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน

ควรจะมีข้อคิดอย่างไรให้กับคนที่กำลังมีความฝันอยู่ หรือผู้ที่ฝันสลายไปแล้ว?

อยากให้ทุกคนรู้ว่า ศักยภาพตัวเราเองนั้นไร้ขีดจำกัด โปรดอย่าคิดว่าเราเป็นคนที่ต้นทุนน้อย ขอให้เราเองมีความตั้งใจมุ่งมั่นทุ่มเทเอาจริงเอาจังเท่านั้นเอง คนทุกคนมีต้นทุนที่สำคัญที่สุดคือ มีกายมนุษย์ที่เรามีศักยภาพที่สามารถจะบรรลุความฝันทั้งหลายได้ตามใจปรารถนา ขอให้เอาจริงเท่านั้นเราเป็นไปได้

พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ท่านเริ่มสร้างวัดพระธรรมกาย ตอนท่านบวชได้ประมาณ 1 พรรษา มีอยู่วันหนึ่งท่านนั่งรถผ่านสนามม้านางเลิ้ง ได้ยินเสียงคนเชียร์ม้าเป็นหมื่นๆ คน ท่านก็นึกอยากจะนำพาคนเข้าวัดนั่งสมาธิ(Meditation )ปฏิบัติธรรมให้มากกว่าคนที่มาเชียร์ม้า ใครได้ยินเข้าก็อมยิ้มและนึกในใจว่าท่านพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะจะเอาคนเข้าวัดนั่งสมาธิได้สัก 10 คน หรือ 100 คนนั้นก็เก่งมากแล้ว แต่พอถึงวันนี้มันก็เป็นไปได้แล้ว ไม่ใช่แค่หมื่น แต่เป็นแสนเป็นล้านคนเลย เพราะเมื่อท่านเองได้ตั้งใจไว้อย่างนั้นแล้ว และทำอย่างจริงจังแล้วชวนทุกคนมาช่วยกันทำ พอคนอื่นได้เห็นมโนปณิธานของท่านว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ถือว่ามาพึ่งบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อในการสร้างบารมีทำความดี และมาช่วยกันทำความฝันที่จะเผยแผ่ธรรมะพระพุทธศาสนาไปสู่ชาวโลก เอาศีลธรรมมาสู่สังคมไทยและชาวโลก เราก็ทุ่มเททำกันมา 40 กว่าปี ผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น ซึ่งมันก็เป็นไปได้ แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง ถ้าไม่มั่นใจในความฝันของตนเองให้มาที่วัดพระธรรมกาย แล้วเราจะเห็นประจักพยานของความฝันที่เป็นจริงอยู่ตรงหน้า เราเองก็ได้ปฏิบัติธรรมด้วย ทำความดีด้วย ได้บุญกุศลด้วย เราจะเกิดพลังใจที่จะมาทำความฝันให้เป็นจริง

2 คำตอบ · +2 โหวต · 0 รายการโปรด · 25 อ่านแล้ว

ผมฝันเอาไว้มากกำลังรอฝันให้เป็นจิงอยู่ครับป่านี้แล้วผมยังไม่ตื่นจากฝันเลยครับ

+1 โหวต · 1 ตอบกลับ

ตอนนี้ขอฝันใกล้ๆ แล้วไปให้ถึงดูจะง่ายกว่า

+1 โหวต · 0 ตอบกลับ

คำตอบของคุณ

(ไม่บังคับ)

เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับ

คำถามที่คุณอาจจะสนใจ