คำถาม
ถามคำถาม

คุณค่าของเงิน 5 บาท

ผมก้มดูเหรียญ 5 บาทในมือ ที่เพิ่งเก็บได้เมื่อกี้ ผมน้ำตาซึม ในหัวมันตื้อไปหมด คิดอยู่อย่างเดียวว่า 5 บาท นี้มันจะซื้ออะไรที่พอจะอิ่มท้องได้บ้าง ผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว

เงิน 20 บาทสุดท้าย ผมให้แฟนไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากการเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าไปจำนำ ในใจยังกังวลว่า เงิน 20 บาทนี้แฟนจะพอกินข้าวเที่ยงไหม

แล้วตอนเย็นเราสองคนจะกินอะไร

นั้นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน เป็นเหมือนจุดที่เวลาหยุดนิ่งให้ผมคิดอะไรหลายๆ อย่าง เป็นช่วงเวลาที่ซึมเศร้า รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ไม่มีใครช่วยได้

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่า ทำให้รู้ถึงคุณค่าของคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดได้ดียิ่งขึ้น ไม่เคยมีคำต่อว่าด่าทอ แม้เราจะอดบ้างอิ่มบ้าง เธอก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยมาซึมเศร้าให้ผมคิดมาก มีแต่พูดให้กำลังใจและหวังว่าซักวัน เราจะมีวันพรุ่งนี้ที่ดีขึ้น

ผมไม่มีเงินเลย ไม่มีทุนซักบาทเป็นคนเรียนไม่เก่ง จบออกมาด้วยเกรด 2.14 / Low Profile หลังจากตั้งสติได้ ก็เริ่มหาสมัครงานใหม่ แต่ไม่ได้สมัครตำแหน่งวิศวกรตามที่ผมจบออกมา เพราะผมรู้แล้วว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับผม ผมทำแล้วไม่มีความสุข ผมไม่อยากทำงานด้านนี้แล้ว

ผมหาสมัครงานตำแหน่ง Graphic Designer ไปทั่วขอนแก่น แม้ฐานเงินเดือนของตำแหน่งนี้จะต่ำแค่ 7,500 บาท แต่ก็ไม่มีแม้แต่ทีเดียว ที่เรียกผมสัมภาษณ์ ใช่!.. ไม่มีแม้แต่จะเรียกสัมภาษณ์ นั้นก็เพราะผมจบวิศวะมา ไม่ได้จบมาด้านนี้

นึกย้อนกลับไป ก็ขอขอบคุณที่ไม่รับผมเข้าทำงาน ถ้ามีซักที่รับผมเข้าทำงาน ผมคงไม่ได้มาอยู่จุดนี้ เมื่อไม่มีที่ไหนรับผมเข้าทำงาน สิ่งเดียวที่ผมมีคือ Notebook เครื่องเก่าๆ ที่ไปกู้บัตรเงินสดมาสมัยที่ยังทำงานอยู่ (ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมติด blacklist อยู่หลายปี เพราะไม่มีปัญญาส่ง)

งานไม่มี เงินไม่มี มี Notebook เครื่องเดียว โชคดี ที่ผมอยู่ใกล้มหาลัยมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้ฟรี ผมก็นั่งเล่นเน็ตค้น Google ไปเรื่อยๆ ศึกษาอะไรไปเรื่อยเปื่อย สิ่งเดียวที่ผมพอจะมีฝีมืออยู่บ้างคือทำงานด้าน Graphic Design, ผมเริ่มศึกษาเพิ่มเติมด้านเขียนโปรแกรมด้วยตัวเอง, CSS, HTML, php, SEO, Magento แล้วก็เริ่มต้นทำเว็บขายของ ซึ่งก็แทบจะขายไม่ได้

แต่สิ่งที่ได้ก็คือ งานเว็บที่ออกมาดูแตกต่างจากเว็บอื่นๆ ในไทยที่มีในสมัยนั้นมาก เริ่มมีคนติดต่อเข้ามาจ้างงาน แต่ Notebook ผมมันก็รวนและเพี้ยนจนทำงานแทบไม่ได้แล้ว

เงินเดือนแฟนผมออก จึงรวบรวมเงินได้ 4,000 ไปซื้ออะไหล่คอมพิวเตอร์มือสองมาประกอบ ได้เครื่องเสร็จ ไม่มีเงินซื้อจอ โชคดีที่มีร้านเน็ตแถวนั้น ประกาศขายจอมือสองในราคา 500 บาท นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มมีอุปกรณ์เริ่มทำงาน

งานเริ่มเข้ามา จาก 3-4 เดือนมีงานมาซักครั้ง ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ทำงานมากกว่าปีละ 100 Projects โดยที่ไม่เคยต้องออกไปหางานเลย และมีงานรอทำตลอด

เรามีความฝันเหมือนกับทุกๆ คน เราอยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากมีชีวิตที่สบายขึ้น

พอเริ่มมีกำลังเงินบ้าง เราจึงตัดสินใจทุ่มกำลังที่มีทั้งหมดสร้างบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านของเรา เราสร้างบ้านให้พ่อกับแม่ก่อน ผ่านไป 6 เดือน บ้านหลังน้อยก็เสร็จ พ่อ-แม่ มีความสุขมาก เราหมดเงิน... เหนื่อยมาก ทุกบาท ทุกสตางค์ เราใส่ไปในบ้านหลังนี้หมด เรารับรู้แล้วว่า การจะมีบ้านซักหลังมันแสนยากเย็น และเหนื่อยสุดๆ

จำได้ว่าตอนนั้น ค้างค่าช่างอยู่ 23,000 บาท มา 3 เดือน แล้ว เราขอทยอยจ่าย จนงวดสุดท้าย เราจ่ายจนมีเงินติดบัญชีแค่ร้อยกว่าบาท

เรารู้ว่าเมื่อสร้างบ้านหลังนี้แล้ว การจะมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นคงเป็นเรื่องยากมาก เพราะเราหมดกำลังแล้ว เรายังคงอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ ต่อไป

ในช่วงที่พีคมากๆ ผมนอนตี 3 และ ตื่น 7 โมงเช้าทุกวัน

ผมสร้างบริษัท ที่นโยบายคือ "ใช้ความสุขทำกำไร" เราเข้าทำงานตอน 9 โมงเช้า ทำงานน้อยกว่าที่อื่น 1 ชม. หยุด เสาร์-อาทิตย์ อยู่กันเหมือนครอบครัว ทำงานดีๆ ให้กับลูกค้า ลูกค้ามีความสุข เราทำงานอย่างมีความสุข ค่าตอบแทนคุ้มค่า ให้มาทำงานเหมือนมาเล่นสนุก แต่ได้เงินกลับไปในอัตราที่คุ้มค่า

เมื่อไม่มีทุนจงใช้ความรู้เป็นทุน เมื่อไม่เก่งจงศึกษาและขยันให้มากกว่าคนอื่น ผมเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรยาก มีแต่สิ่งที่เราไม่รู้

ผมยังคงเป็นมนุษย์ 200% อยู่ทุกวัน การเลิกงาน ตี 1 ตี 2 เป็นเรื่องปรกติ แม้งานจะหนักแต่ผมก็มีความสุขดี เพราะเราได้ทำสิ่งที่เรารัก งานไม่ใช่ภาระ แต่เป็นงานอดิเรก ที่ทำแล้วได้เงิน

ผมเชื่อว่าพลังของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด และงานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย

วันนี้ผ่านมา 3 ปี นับแต่สร้างบ้านหลังแรกให้พ่อกับแม่ เราคิดว่าเราคงไม่มีกำลังและทำไม่ได้แล้ว แต่ในที่สุดวันนี้ก็สำเร็จ เรามีบ้านของเราแล้วครับ บ้านที่มาพร้อมกับสมาชิกใหม่ของเรา ลูกที่มาพร้อมกับบ้านหลังใหม่

รอยยิ้มแห่งความดีใจ ของคนที่อยู่กับผมมา 10 ปี มันทำให้ผมมีความสุขจริงๆ

ปล.ผมเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นใน FB ส่วนตัวของผม และเอามาลงที่นี้ด้วย หวังว่าคงสร้างกำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้ได้บ้างนะครับ

อ้างอิงจาก : http://pantip.com/topic/32798067

5 คำตอบ · +2 โหวต · 0 รายการโปรด · 7 อ่านแล้ว

ชีวิตไม่ต่างกันเลย

ต้องใช้เวลานะกว่าจะผ่านแต่ละด่าน จนมีวันนี้ และอีกหลายๆวัน

ขอบคุณที่เอามาแชร์

+2 โหวต · 2 ตอบกลับ

ยินดีครับ ผมอ่านแล้วมีกำลังใจเลยครับ เค้าสู้มาก

+0 โหวต

ใช่ และที่สำคัญ ความรักของครอบครัว

สำคัญมาก ล้มทีไร เราร่วมสู้ไปด้วยกัน

+1 โหวต

เกิดเป็นคน ดิ้นรนสู้ เพื่ออยู่รอด

จะอิดออด อ้อนวอนขอ รอใครช่วย

ตนพึ่งตน ไม่ช่วยตน พ้นทางรวย

ศพไม่สวย รวยไม่มี หนี้เบิกบาน

+2 โหวต · 0 ตอบกลับ

อ่านแล้วมีความสุขจริงๆๆค่ะ

ทักนะจ๊ะ แบงค์

+2 โหวต · 1 ตอบกลับ

ทักคร๊าบพี่ป่าน

+1 โหวต

คู่ชีวิตเปรียบเสมือน ไม้เท้า ที่คอยพยุงเราไว้ เปรียบเสมือน กาวที่คอยยึดติดเรา เปรียบเสมือนป่านว่าวที่คอยดึงเราไว้ ไม่ให้หลุดลอย

โชคชะตาไม่เคยเล่นตลก มีแต่ของจริง ผมเองก้อกำลังท้อใจ และผมก้อดูว่าโชคดีกว่าคุณที่ฐานผม้ตรียมพร้อมทุกอย่าง แต่ที่ผมไม่มีเหมือนคุณ คือคู่ชีวิตที่ คอยพยุงค้ำจุนกัน เลยตรงกันข้ามกับคุณทุกอย่าง ผมเหนื่อยเหลือเกิน T_T

+2 โหวต · 2 ตอบกลับ

สู้ครับ ตอนแรกที่ผมอ่านเรื่องนี้ ผมซึ่งมากครับ ผมลุกขึ้นสู้เลยครับหลังจากอ่านเรื่องนี้

+0 โหวต

ผมไม่รู้ว่าเขารักผมจิงๆหรือป่าว ผมสับสน เพราะมันมีหลายสิ่งที่ผมเหน ผมรู้สึก

+1 โหวต

จริงดิ..!!

ชีวิตมันอย่างงี้แหละผมมาหางานแถวด้วยเงินออกจากขอนแก่นแค่สองร้อย..

ยังไม่มีบ้านเลย..มีแต่หนี้..ที่รอคิวยึดทรัพย์..

แต่..ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะผมมีสิ่งดีๆ...ในชีวิตแล้ว.

+1 โหวต · 1 ตอบกลับ

ผมอ่านแล้ว มีกำลังใจมากครับ

เค้าเริ่มจ้นจากคำว่า 0 จนกลายมาเป็น 100

+2 โหวต

คำตอบของคุณ

(ไม่บังคับ)

เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับ

คำถามที่คุณอาจจะสนใจ