ตอบเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
กรรมที่ทำลงไปแล้วนั้น เหมือนนำข้าวสารมาหุง ข้าวสุกไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้
การที่ทุกข์ใจ เสียใจกับบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้นเป็นบาปที่ย่ำแล้วย่ำอีก เป็นโทษมาก..
พึงเห็นอันตรายของกิเลสที่หาความปราณีแก่สัตว์โลกไม่ ได้เลย ผลักดันให้กระทำกรรมชั่วต่างๆนานา จนกระทั่งบาปอันหนักหน่วงได้..พาสัตว์โลกทั้งหลายไปสู่นรกบ้าง ไปเป็นเปรตบ้าง ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง พาไปหักแข้งหักขา ไปถูกผ่าท้อง แหวะอก ถูกผ่ากระโหลกก็มี เห็นหรือไม่ว่า กิเลสไม่เคยเมตตาพวกเราเลย ดังนั้น ต่อแต่นี้ จงหันกลับวางใจ วางทางเดินของชีวิตใหม่ เจริญบุญทั้งสิบประการหากสะดวกประการใด..... ก็บุญใหม่ย่อมเข้าอุปการะต่อท่านไม่ให้เดือดร้อนจนเกินไปนัก ...จงชื่นใจกับบุญ ระลึกถึงบุญเนืองๆ อย่างนี้ชื่อว่า สมควรยิ่ง หากปล่อยใจให้เสียใจ ก็เท่ากับทำบาปใหม่เรื่อยๆ อย่างนี้เป็นโทษ
บุญที่ประกอบด้วยปัญญาที่ได้สั่งสมไว้ด้วยดีนั่นแหละ ย่อมกระทำให้หิริ โอตตัปปะคือความเกรงกลัวละอายต่อบาปของท่านให้เกิดขึ้นได้ ย่อมมาระงับยับยั้งไม่ให้ท่านกระทำการล่วงบาปที่น่ากลัวได้อีกต่อไป ทำอย่างนี้ ชื่อว่าแก้กรรมใหม่ไม่มีสิทธิ์แก้กรรมเก่าได้เลยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ....ขอท่านจงนำเอาบาปนั้นมาเป็นปัจจัย เป็นแรงหนุนส่งให้ท่านผู้ถามประกอบแต่กรรมดีต่อไปอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้ ชื่อว่า ยอดเยี่ยม
หากทำกุศลกรรมใหม่มากพอ กุศลวิบากใหม่อาจมีกำลังแรงพอที่จะตัดรอนผลของบาปกรรมเก่าที่กำลังทำให้เราเดือดร้อนให้ลดลงหรือหยุดได้ แต่หากบาปกรรมเก่ามีกำลังแรง มาก แม้จะเจริญบุญอย่างหนัก ผลบุญใหม่ก็มิอาจฝ่ากำลังบาปกรรมเก่าได้เลย อย่างไรก็ดี พึงวางใจว่า เมื่อบาปกรรมส่งผลแล้ว อำนาจเขาก็ลดน้้อยลงไปด้วย เร่งทำกุศลไว้ให้บ่อยๆมากๆย่อมเป็นการสร้างทางแห่งความสุขแก่ตนในเบื้องหน้าแน่นอน..
ทาน ศีล ภาวนา นี้เป็นกุศลทั้งสิ้น หมั่นประกอบเนืองๆนะครับ
ที่มาครับ.. http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1308
+3 โหวต · 0 ตอบกลับ