กลับไปยังคำถาม "กรงขัง"..ในหัวใจ..!!
ถามคำถาม

ในคำตอบ

เห็นด้วยทุกประการจ้ะ

ขอบคุณทีแบ่งปันกระบวนการคิด การมองปัญหา และให้รู้จักหัวใจตัวเอง

จนสามารถออกจากกรงขังที่เราสร้างมากั้นตัวเองได้

+1 โหวต · 6 ตอบกลับ

ถูกต้องงงจ้ะ

+1 โหวต

ถูกต้องงง

+1 โหวต

อ๋อ อันนี้ที่เตงพูดมาเราก็รู้ถึงเหตุผลทุกอย่างเหมือนตัวเองพูดน่ะแหละ รู้และเข้าใจดีว่า หากไม่อโหสิกรรมหรือชดใช้ให้เขาเสร็จสิ้นในชาตินี้ ชาติต่อไปเราก็ต้องได้มาเจอกันอยู่ดี เหมือนที่พระว่า หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นไง และก็ถูกต้อง เราพยายามคิดบวก คิดว่า ถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้ ถ้าไม่มีเขาให้เราได้มีโอกาสทำบุญ เราก็จะไม่มีเงินมาเลี้ยงเขาให้เป็นการทำกุศลต่อไป เรากำลังพยายามคิดว่า ท่านเป็นเทวดา มาอยู่ข้างๆเรา คอยฝึกเรา กำชับเราให้รู้จักการทำดี นั่นแหละ คือสิ่งที่เราคิดย้อนศรกลับไป ให้เรารู้จักข้ามวัฏสงสาร และถ้าไม่มีเขา เราอาจจะมีอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่และกำลังจะเผชิญต่อไปก็ได้ หากว่าเราไม่ชดใช้ให้แก่ท่านนี้ไปให้หมดสิ้นในชาตินี้ คิดอย่างนี้ จะทำให้เราต้องนึกถึงความดีให้มากๆ นึกว่า ที่แท้แล้ว ในความเจ็บปวดโหดร้ายนั้น ความจริงแล้ว แฝงเพชรเม็ดงามอันล้ำค่าอยู่ในนั้น แฝงด้วยความกรุณาที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด อยู่ที่ว่าเราจะมองออกไหม ถ้าเรามองออก คือเราผ่านการเจียรไนเพชรเม็ดนั้นนั่นเอง อิอิ

+1 โหวต

เราว่ายิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติมากก็ยิ่งเข้าใกล้ธรรมะมากขึ้น

เมื่อปฏิบัติมาก ก็ยิ่งสว่าง เมื่อมีปัญหา แต่ตัวเราสว่างก็มองเห็นได้ชัดเจน

การแก้ปัญหา หาทางออกก็ยิ่งง่ายขึ้น

เมื่อศึกษามากก็ทำให้เข้าใจมาก

ก็ทำให้เรามองอะไรๆ ได้ชัดเจน ถ่องแท้

ทุกปัญหาจึงใช้ปัญญาในการมองและแก้ไข

นี่คือข้อดีของการศึกษาธรรมมะ

ส่วนเรื่องคนที่เตยทำร้ายในตอนเด็ก เราจะมองให้เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร

ไม่แน่นะการที่เราได้รับจากการกระทำของเขาในชาตินี้อาจน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำต่อเขาในชาติอื่น ภพอื่นก็ได้

ต้องแยกแยะให้เข้าใจเรื่องของกรรมให้ได้

คิดให้ออกว่าหากสิ่งที่เขาทำกับเราในชาตินี้ เป็นผลมาจากที่เราทำกับเขามาในชาติอื่นๆ ซึ่งอาจร้ายแรงกว่านี้ก็ได้ แล้วเขาไม่ปล่อย ไม่อโหสิ เขากับเราจึ้งต้องมาพบเจอ มาชดใช้กันในชาตินี้ แล้วเราไม่อโหสิกรรมให้เขา กรรมในชาตินี้ที่เรารับเพื่อชกใช้ให้เขา จะจบสิ้นลงในชาตินึ้ได้หรือไม่

หากเราวางไม่ได้ อโหสิกรรมไม่เป็น ชาติหน้า ภพหน้าก็ต้องเจอกันอีก แล้วถ้าเขาปลาอยวางไม่ได้ ชาติต่อๆ ไปก็ต้องมาพบกันเพื่อแก้แค้น เอาคืน ในฐานะเจ้ากรรมนายเวรต่อกันไม่สิ้นสุดใช่มั๊ย

อย่างนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นกันเสียที

ตราบใดที่เราบังคับคนอื่นไม่ได้ การแก้ปัญหาให้จบไปก็ต้องมาแก้ที่ตัวเราเอง

ทุกเรื่องที่เราเป็นผู้ถูกกระทำ ยากทุกเรื่องที่เราจะลืมคงามเจ็บช้ำ

แต่เราต้องมองข้ามความเจ็บช้ำนั้นไปให้ได้สิ ต้องมองไปข้างหน้า อย่าเหลียวกลับมามองอดีตที่แสนระทม แสนรุนแรงที่เกิดกับเรา ไม่เช่นนั้น เราจะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารไม่จบไม่สิ้น เมื่อเราต้องการความอิ่มฝจ ความสบายใจ ความสุขในโลกหน้า เราก็อย่าผูกอะไรไว้กับตัวเราอีกต่อไป เพราะจะเป็นห่วง เป็นสัญญา เป็นกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดมาพบกับเขา มาพบกับความเจ็บช้ำ ความเคียดแค้นชิงชัง

"ยิ่งวางได้มาก ยิ่งเบาสบาย"

ค่อยๆ ทำทีละนิด ต้องฝึกจิตทุกๆ วัน ให้คุ้นชินกับการปล่อยวาง การให้อภัย มองเรื่องเจ็บช้ำ โกรธเคืองให้เป็นอดีต คิดแง่บวกว่าอย่างน้อยเราก็ผ่านไปแล้ว อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเองอีกเลย

ใครไม่รักเรา แต่เราต้องรัก หวังดี และมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ตัวเองมากๆ สิจ๊ะ

+1 โหวต

บางครั้ง ถ้าเราสงสัยอะไร เราจะนึกถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจ แล้วไม่นาน เราจะได้รับคำตอบ จากบทความ จากธรรมะ จากสิ่งที่นึกได้เองเป็นเหตุเป็นผลกัน มันทำให้เรานึกถึงโหรระดับประเทศ มีชื่อเสียงระดับประเทศเลยแหละ ทายดวงเราทางช่องข้อความที่เราถามท่าน มีช่วงหนึ่ง จู่ๆท่านบอกว่าเราเป็น "ผู้รู้" ตอนแรกไม่เข้าใจที่ท่านพูด แต่พอมาถึงตอนนี้ ทำให้นึกไปถึงสิ่งที่ท่านบอกจริงๆ ท่านคงหมายถึงแบบนี้กระมัง เหมือนกับว่า ท่านรู้ว่า เราเป็นอะไร เราเป็นใคร อย่างนั้นแหละ จำได้ไหม พระท่านเคยบอกไว้ว่า ผู้ศึกษาธรรมะมาก จะรู้ก็รู้ได้แต่เฉพาะตน คือเหมือนรู้แต่บอกใครคนอื่นไม่ได้ เพราะคนอื่นจะหาว่าเพ้อเจ้อไง เออ..พูดไปมันไม่น่าเชื่อนะ แต่ว่า มันดูแปลกๆ สำหรับเราที่เจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่ตลอดเวลาคนเดียวอ่ะในใจ จะรู้คำตอบได้เอง มันแปลกๆอ่ะ

+1 โหวต

เตงเคยมีกรงขังแบบนั้นเหมือนกันเหรอ? เช่นเรื่องไรบ้าง ส่วนตัวเรานี่ เรื่องหนักที่สุดคือครอบครัว คิดเครียดอยู่ทุกวัน พยายามหาทางออก คิดดูสิ ถ้าคนที่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจมาตลอด สุดๆ แล้วเราต้องทำดีด้วยสุดๆ แล้วต้องให้มาให้เงินด้วย ต้องให้ทั้งๆที่เจ๋บช้ำน้ำใจน่ะ มันทำใจยากนะ มันสุดๆอ่ะ แต่เราก็พยายามนึกนะ ถ้าเราไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมปลง เรากลัวเราจะเป็นเหมือนวิญญาณพวกนั้นแหละ คือเข้าใจเลยว่าคนที่แค้นคนอื่นแล้วปล่อยวางไม่ได้อ่ะเป็นยังไง เหมือนคน่ทีถูกฆ่าหั่นศพอย่างนี้ คนที่ถูกอุ้มฆ่างี้ ตัวเองคิดดูดิ ว่าเค้าจะปล่อยวางได้มั้ย มันคงทำได้ยาก แต่เรานี่ไม่รับรองว่าเราจะปล่อยวางได้ไหม แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก บางวันปลงได้ บางวันปลงไม่ได้ มันคิดวนเวียน แต่ต้องชนะใจตนเองให้ได้ อย่างที่พระท่านพูด เราต้องใช้ปัญญามาก่อนอารมณ์ ถ้าไม่ใช้ปัญญา ถ้าไม่รู้จักก้าวมันให้ผ่านพ้นไป เราก็จะข้ามมันไปไม่ได้ มันเหมือนกับการที่เราอยู่ระหว่างทางหลุดพ้น และทางไปนรกน่ะ ถ้าพลาดนิดเดียว ตัดสินด้วยอารมณ์คือ ตกเหว ตกนรกโดยทันทีอ่ะ เข้าใจไหม มันเหมือนบททดสอบของธรรมะนะ ใครจะรู้ ว่าเรากำลังถูกทดสอบอยู่ก็ได้ ว่าอะไรที่เราทำมาหมดน่ะ ดีแล้ว ที่สุดแล้ว แต่เราเหลืออยู่ทางเดียวคือเราต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้ คือถ้าพลาดนี่ ตกนรกเลย อะไรแบบนี้น่ะ และบางครั้งทุกครั้งที่มีเรื่องให้เราสงสัย เราเหมือนจะได้อ่านสิ่งเหล่านี้เจอจากธรรมะ คือเหมือนพระท่่านดลบันดาลให้เราคอยทราบคำตอบอยู่ตลอดเวลา เหมือนท่านคอยช่วยอยู่ยังไงไม่รู้นะ แต่อยู่ที่การเลือกการกระทำของเราไง ถ้าเลือกผิด ใช้อารมณ์ ไม่ใช่ปัญญา ก็จะแย่อ่ะ เป็นอย่างที่พระท่านว่าจริงๆ ให้ใช้ปัญญามอง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา ต้องรู้จักข่มใจ ปล่อยวาง และได้อ่านบทความของดังตฤณ นี่ดีนะ เปิดไปเจอพอดี เขาจะบอกว่า ให้เราฝึกเป็นผู้ให้ ปล่อยวาง อย่ายึดติด ต้องเพ่งเล็งเห็นโทษของมัน อะไรแบบนี้น่ะ เราจะรู้สึกแปลกๆว่า ทุกครั้งที่เรานึกสงสัยอะไร เราจะต้องมีเรื่องมาค้นพบคำตอบได้ประจำ จากบทความธรรมะของพระ จากคำคม หรือจากดังตฤณ จากที่นึกรู้วูบผ่านเข้ามาในใจ จนเรารู้สึกแปลกๆว่า ทำไมเรารู้ เอ..ทำไมเรานึกรู้แทบทุกเรื่องที่เราสงสัย เหมือนถูกดลบันดาลให้มาทราบคำตอบ ทุกวันนี้ ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะ บางครั้ง ถ้าเราสงสัยอะไร เราจะนึกถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจ แล้วไม่นาน เราจะได้รับคำตอบ จากบทความ จากธรรมะ จากสิ่งที่นึกได้เองเป็นเหตุเป็นผลกัน มันทำให้

+1 โหวต

ความคิดเห็นของคุณ

(ไม่บังคับ)

เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีการตอบกลับ

คำถามที่คุณอาจจะสนใจ